ชุมพรคาบาน่า- จากความผิดพลาด สู่ความพอเพียง


จากหนุ่มเจ้าสำราญ – สู่ความทุกข์บนหนี้ 300 กว่าล้าน – จนถึงการพบทางออกบนเส้นทางสายพอเพียง

ที่มา : นิตยสาร ฅ คน ฉบับที่ 50  (ธันวาคม 2552)



บางสิ่ง…ที่ต้องก้าวข้ามให้พ้น


ในการที่จะทำอะไรสักอย่างให้ได้ดีนั้น  มันย่อมมีความยาก

แม้ประโยคนี้ใครๆก็รู้ แต่บางครั้งสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับความรู้สึก ก็ยากเกินต้านทานรับไหว

 

ช่วงเวลาที่ผ่านมา มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราเกิดอาการท้อใจอย่างรุนแรง ความมั่นใจในชีวิตลดฮวบ

รู้สึกแย่กับตัวเอง  รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง –โง่ –ห่วยกากซากอ้อย  ฯลฯ

จนลุกลามไปถึงขั้นไม่แน่ใจว่าเราเหมาะกับเส้นทางสายนี้จริงหรือไม่

 

บนความท้อแท้ใจที่เกิดขึ้น  มีประโยคหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัวสมองว่า

 

บางที ความรู้สึกที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้  ก็อาจเป็นแบบทดสอบจากฟากฟ้า

ที่ส่งมาเพื่อพิสูจน์ใจเราว่า  “มึงรักที่จะทำสิ่งนี้จริงหรือไม่”

 

ใช่, บางที ความรู้สึกท้อแท้ใจที่เกิดขึ้นนี้ ก็เป็นเพียงแบบทดสอบ

แบบทดสอบที่เราต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้

ไม่ต่างอะไรจากการสอบในสมัยเรียน ที่ต้องสอบให้ผ่านก่อนจะได้รับใบปริญญา

 

ไปหยิบหนังสือทำมือที่ตัวเองเคยเขียนออกมาอ่าน   เราเคยเขียนไว้ว่า

 

“ถ้าการเป็นนักเขียนที่ดี มันทำได้ง่ายๆ  ป่านนี้ใครๆก็เป็นนักเขียนที่ดีกันหมดแล้วสิ

แต่เพราะมันยากไง

ที่ทางแห่งความฝัน จึงถูกจำกัดไว้สำหรับคนที่ต้องการมันจริงๆเท่านั้น

และความยากนั้นเอง ก็คือตัวคัดกรองชั้นดี  ที่มีไว้เพื่อกันคนที่ไม่ได้ต้องการความฝันนั้นจริงๆออกไป

ใครเหลาะแหละ ใครไม่จริงจัง  คนนั้น…ออกไป!!!

 

“ถ้าสิ่งนั้นคือสิ่งที่อยากทำจริงๆ  จะไปกลัวทำไมกับความยาก

ยาก..ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หยุด!!

 

บางที  การเป็นคนโง่ คนไม่เก่ง คนด้อยความสามารถ อาจไม่ใช่เรื่องน่าอาย

การยอมแพ้อะไรง่ายๆโดยไม่ได้สู้เต็มที่ต่างหากที่น่าอายกว่า

 

เพราะฉะนั้นในวันนี้

หากใครจะด่าเราว่าห่วยกากซากอ้อยด้อยความสามารถ…. เรายอมได้

แต่เรายอมไม่ได้…. หากใครจะว่าเราว่า ยอมแพ้ง่ายและไร้ความพยายาม

 

 

เราจะไม่ยอมแพ้ครับ

จากนักเลงยาบ้า สู่การเป็นชาวนาผู้ใฝ่ดี

จากนักเลงยาบ้า  สู่การเป็นชาวนาผู้ใฝ่ดี

~ ชีวิตที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า  ของชายผู้ถูกเสาด่า ~

 

สุรศักดิ์ ศรีสง่า หรือ อ่างดินในวันนี้  คือชาวนาคุณธรรมวัย32ปี  ผู้ที่บุคลิกเต็มไปด้วยความสนุกสนานเฮฮาและเป็นผู้นำ  ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่  มีจิตอาสาช่วยงานต่างๆของกลุ่มอยู่เสมอ  แถมพ่วงหน้าที่หลักอย่างการเป็นนักส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มข้าวคุณธรรม   รวมทั้งเป็นผู้นำชุมชนทำโครงการวิจัยต่างๆ เช่นโครงการป่าหัวไร่ปลายนาเพื่อสร้างมูลค่าทางอาหารและรายได้ของคนในชุมชน   โครงการอนุรักษ์ลำน้ำ  และยังวางแผนว่าอยากจะทำโครงการสมุนไพรเพิ่มขึ้นอีก

แต่สุรศักดิ์หรืออ่างดินในอดีต คือขาใหญ่ช่างกลที่นิยมการยกพวกตีกัน , พ่อค้ายาเสพติดที่มีอาวุธปืนในครอบครอง   ,นักเลงประจำหมู่บ้าน , ไอ้ขี้เหล้า ไปจนถึง….นักโทษในคุก

นักโทษในคุก…ที่ใช้ชีวิตเป็นนักเลงขาใหญ่ในเรือนจำเป็นเวลาเกือบ 8 ปี

 

ใช่หรือไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกชีวิตของชายผู้หนึ่ง กำลังบอกกับเราว่าแท้จริงแล้วนั้น ไม่ได้มีใครเกิดมาเพื่อที่จะเป็นคนเลว   เพียงแต่บางครั้ง กระแสอันเชี่ยวกรากของค่านิยมในสังคม ก็ไหลแรงเกินกว่าผู้ที่ปราศจากภูมิคุ้มกันในชีวิตที่มากพอจะทัดทานไหว

 

                ~ เส้นทางที่มืดมิด ~

“ตอนเด็กๆก็เห็นพวกช่างกลยกพวกตีกันแล้วรู้สึกว่ามันเท่”

นั่นคือความคิดในสมัยเด็กของอ่างดิน  ซึ่งจะโทษว่าเป็นความผิดของเขาได้หรือ ในเมื่อค่านิยมของสังคมมันหล่อหลอมให้เด็กหนุ่มอย่างเขาเชื่อเช่นนี้

หลังเรียนจบม.3 ที่โรงเรียนในชุมชนจังหวัดยโสธร  เขาก็เลือกที่จะเดินตามค่านิยมนั้น ด้วยการสอบเข้าวิทยาลัยเทคนิคยโสธร

ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย  เขาสอบติด และเริ่มต้นชีวิตนักเลงช่างกลที่นั่น

“ชีวิตผมตอนนั้นอยู่ในโลกของทุนนิยมเลย  กินเล่นเที่ยวเสพ  เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด …ทุกอย่าง    ถ้าใครทำอะไรให้ไม่พอใจก็ตามถึงที่นอนแหละ  ไปบุกตีในมุ้งเลย   เวลาโมโหทีอยู่ใกล้อะไรก็คว้าอันนั้น”

ไม่ใช่แค่นักเลงธรรมดา  แต่เส้นทางของเขา ยังดำดิ่งไปสู่เรื่องราวของการทำผิดกฎหมาย อย่างการค้ายาเสพติด ที่เริ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่สองของการเข้าเรียนปวส.

“แค่ปีแรก ปวส.1ก็ถูกจับ  ถูกจับแล้วก็ประกันตัวออกมา  ประกันออกมาแล้วก็ถูกจับอีก คดีที่สอง คดีที่สาม แล้วก็คดีที่สี่   ก็คดีค้ายาเสพติดอย่างเดิมนี่แหละ แถมพ่วงท้ายด้วยการครอบครองอาวุธปืนและทำร้ายเจ้าหน้าที่พนักงาน”

ผลสุดท้าย  คือชีวิตในเรือนจำ  7 ปี 9 เดือน 2 วัน

จนกระทั่งเมื่อพ้นโทษออกมาในปี 2548   ชายหนุ่มจึงตัดสินใจไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพ ด้วยการเป็นช่างไฟของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่จัดไฟบริการกองถ่ายหนัง    หลังจากแบกขาไฟอยู่เกือบสองปี ก็ได้มีโอกาสกลับมางานบุญประจำปีที่บ้านเกิด  ซึ่งการกลับมาครั้งนั้น ก็เป็นการหันหลังให้กรุงเทพอย่างถาวร

“เบื่อกรุงเทพ  เรามาอยู่นี่เราก็เห็นวิถีธรรมชาติดีกว่า  ตื่นขึ้นมาเห็นท้องนา  มีความสุขกับมัน  ก็เลยคิดจะมาทำนา ทำเกษตร”

การตัดสินใจในครั้งนั้น  ก็มาจากการยึดเอาความสบายใจเป็นหลัก  ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรมากมาย   ชีวิตชาวนาของอ่างดินในวันนั้น  ก็จึงไม่ต่างจากชาวนาทั่วๆไปในยุคสมัยนี้  ที่กินเหล้า สูบบุหรี่  ใช้สารเคมี และเล่นการพนัน

“แต่ก่อนเนี่ย  เช้ามาก็ต้องกินเหล้ากั๊กนึงสิบบาท เขาเรียกว่าชาร์ตแบตก่อนไปนา   ซื้อบุหรี่ซองนึง 35 บาท  ยาแมว(ยาเส้น) 5 บาท  กระดาษอีกบาทนึง   นี่คือสิ่งที่ต้องซื้อก่อนไปนา   ส่วนขากลับจากนาก็เหล้าอีกกั๊กนึง  รวมแล้ว61 บาทต่อวัน  ยังไม่นับบางวันที่ไหลอีกนะ”

ไหลก็คืออาการติดลม   บางครั้งก็ไม่ได้มีหน่วยนับเป็นกั๊ก  แต่นับเป็นขวดกันเลยทีเดียว

“นี่แค่ออพชั่นเสริม  ยังไม่เกี่ยวกับค่าทำนาเลยนะ  แถมมีทุกวัน ไม่มีวันหยุดด้วย”

เขาวิเคราะห์ให้ฟังว่า  สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น มันก็เป็นไปตามวิถีธรรมชาติของชุมชน เป็นไปตามน้ำอย่างที่คนส่วนใหญ่เป็นกัน

“บางวันไปรับจ้างเกี่ยวข้าว  เราไปถึงหน้างาน เจ้าภาพก็เปิดให้เลยหนึ่งขวด  คนละเป๊ก ตอนเที่ยงก็อีกขวดนึง ก็ได้อีกเป๊ก  ตอนเย็นเขาก็แถมให้อีกสองขวดกับค่าแรงสองร้อย”

และแน่นอนว่าค่าแรงนั้น ก็ไม่ถึงบ้าน  หมดตั้งแต่วงเหล้ากลางทางแล้ว

ถ้าวันไหนไม่ได้กินเหล้า  เขาเล่าว่า ถึงกับมือสั่น…หิวเหล้า

“มันก็เป็นธรรมชาติไปเหมือนคนอื่นนั่นแหละ  เป็นความปกติในชุมชน  แต่พอมาทำอย่างชาวนาคุณธรรมนี่สิ  เขาจะว่าพวกเราว่า เป็นพวกไม่ปกติ   สังเกตไหมว่าเวลาเด็กนักเรียนตีกันมันพูดว่ายังไง  โอ้โห สุดยอด เก่ง เท่   แต่พอมันไปตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ ก็จะถูกแซวว่าไอ้หนอนหนังสือ   เหมือนทุกวันนี้คนกินเหล้า ใครมีเงินซื้อเหล้า โอ้โห สุดยอด  เรียกพี่  เรียกเสี่ย  เรียกอาจารย์  แต่พอเลิกเหล้า ก็จะพูดกันว่า มันจะไปได้สักกี่มื้อ

แต่ใครจะไปคาดคิด ว่าความเป็นนักเลงของเขา จะนำพาให้ชีวิตไปพบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

 

                ~ นักวิจัยสายนักเลง ~

“ตอนนั้นมีโครงการวิจัยของสกว.(สำนักงานสนับสนุนการวิจัยเพื่อท้องถิ่น)เข้ามา  เขาให้งบมาสามแสนทำวิจัยเรื่องป่าหัวไร่ปลายนา เพื่อสร้างมูลค่าทางด้านอาหารและรายได้ของคนในชุมชน   ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้จักหรอกนะ ไอ้สกว.เนี่ย แต่พอดีคนที่เขาทำโครงการนั้น เขาขับเคลื่อนโครงการไม่ได้   เขาก็เลยมาจ้างให้ผมไปช่วย เพราะมีคนบอกเขาว่า ถ้าอยากขับเคลื่อนงานตรงนี้ได้  ก็ให้มาหาผม  เพราะผมเป็นขาใหญ่ในชุมชนว่าอย่างนั้นเถอะ”

เขามาจ้าง  เราก็ไป … คือเหตุผลง่ายๆที่ทำให้อ่างดินตัดสินใจไปช่วยงานวิจัยนั้น  โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ในอนาคตเขาจะกลายมาเป็นผู้รับผิดชอบงานวิจัยนี้อย่างเต็มตัว  เนื่องจากสาเหตุที่ไม่มีใครคาดคิดที่ว่า – หัวหน้าโครงการ หนีไป…

ไม่ใช่แค่หนีไปธรรมดา  แต่ยังหอบเงินของโครงการไปพร้อมกันด้วย

งานไม่เสร็จ หัวหน้าโครงการหนี  ก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนัก หากอ่างดินจะเลือกยุติโครงการไว้เท่านี้  แต่สำหรับนักเลงอย่างเขา  การหันหลังทั้งๆที่งานไม่เสร็จ  ไม่ใช่วิสัยที่คนอย่างเขาจะทำ

“เราไม่อยากให้ชุมชนเสียหาย แล้วเราก็เริ่มผูกพันกับโครงการหนักเข้าด้วย  ก็เลยไม่อยากออก  อีกอย่างก็อยากจะพิสูจน์ด้วยว่าถ้าไม่มีหัวหน้าโครงการอยู่ เราจะทำได้ไหม”

สิ่งที่นักเลงอย่างเขาตัดสินใจ  ก็คือเดินหน้าทำโครงการต่อ  ทั้งๆที่ไม่มีเงินสนับสนุนใดๆ

แม้จะไม่มีความรู้อะไรมากมายในการทำวิจัย  แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เขาท้อถอย   ตรงกันข้าม เขากลับหมั่นศึกษา พาตัวเองไปยังงานอบรมต่างๆเกี่ยวกับวิธีดำเนินงานในการทำวิจัยชุมชน  เริ่มหัดเก็บข้อมูล  ลงไปคุยกับคนในพื้นที่  ถอดองค์ความรู้ของชาวบ้านที่เกิดขึ้นในป่าหัวไร่ปลายนาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน  รวมทั้งศึกษามิติของการเปลี่ยนแปลง

“ไม่มีเงินมันเคลื่อนยาก คนในชุมชนน่ะ”   เขาเล่าถึงความยากในการทำงานโดยที่ไม่มีเงินทุนสนับสนุน

“เวลาจัดอบรม ก็ไม่ค่อยมีชาวบ้านมาเข้าร่วมอบรมเท่าไหร่   เขาบอกถ้าอบรมไม่มีค่าตอบแทนนะ เขาไปนาดีกว่า   เงินไม่มาไปนาดีกว่า เขาว่าอย่างนั้น  เวลาเก็บข้อมูล ก็เลยต้องไปเก็บทีละคน ทีละคน  มันก็ทำงานยาก”

อย่างไรก็ตาม ความยากก็มิอาจเอาชนะความพยายาม   ในที่สุดงานวิจัยก็เริ่มคืบหน้าจนสามารถเขียนรายงานความก้าวหน้าส่งไปเพื่อขอเงินงวดที่สองมาได้  การเคลื่อนงานหลังจากนั้นก็ง่ายขึ้น

และจากผลงานที่ปรากฏนั้นเอง ทำให้เมื่อมีโครงการถัดมาเข้ามาในหมู่บ้าน คือโครงการแรงงานคืนถิ่น ที่จัดขึ้นที่วัดป่าสวนธรรม มูลนิธิธรรมะร่วมใจ   ผู้ใหญ่บ้านจึงส่งอ่างดินไปร่วมอบรม

“วันแรกนี่เมาไปเลย”

แม้จะเป็นถึงนักวิจัยของชุมชน แต่ก็มิอาจทำให้เขาเหินห่างจากเพื่อนเก่าอย่าง เหล้า ไปได้

“คืนก่อนหน้าที่จะอบรม ผมนั่งกินเหล้าในหมู่บ้านจนสว่าง ตอนเช้าพ่อก็มาส่ง พอถึงวัดก็ลงจากรถไปเข้าห้องน้ำ พอออกมา อ้าว พ่อหายไปแล้ว”

จะกลับก็กลับไม่ได้  นายอ่างดินในสภาพเมาๆก็ต้องจำใจจำยอมอยู่อบรมอย่างไม่มีทางเลือก

“ตอนนั้นก็คิดในใจว่า เอาวะ…อบรมก็อบรม  แค่สี่วัน อย่างน้อยก็ได้เงินค่าเหล้ามากินแหละน่า”

การอบรมวันแรกจึงผ่านไปอย่างว่างเปล่า  ท่ามกลางความเมาทั้งกายและใจ  คำพูดที่พระเทศน์ให้จึงมีค่าแค่เพียงคลื่นเสียงที่ลอยหายไปในอากาศ

วันที่สอง สาม และสี่  ก็คงไม่ต่างกัน และเขาก็คงจะเป็นหนุ่มขี้เหล้าต่อไป  ถ้าหากว่าในเช้าวันที่สองนั้น เขาไม่ได้ไปนั่งพิงเสาต้นหนึ่ง  แล้วบังเอิญยืดแขนไปโดนแผ่นกระดาษบนเสานั้น

 

                ~ ถูกเสาด่า

“วันที่สอง ผมก็เริ่มสร่างเมาแล้ว  หลังกินข้าวเสร็จ  ผมก็ขึ้นไปนั่งรอบนศาลา  นั่งแอบอยู่หลังเสา หลบๆอยู่เพราะกลัวหลวงพ่อเรียกใช้  จำได้เลยว่าเป็นเสาต้นที่สอง”

ไม่รู้จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรดลใจ  เขายืดแขนขึ้น แล้วไปชนกับกระดาษแผ่นหนึ่งที่ติดอยู่บนเสาที่ปลายด้านหนึ่งห้อยลงมา    ด้วยความสงสัย เขาจึงลุกขึ้นไปอ่าน

“ประโยคนั้นเขียนว่า ‘คำพูดเหมือนปราชญ์  แต่เป็นทาสบุหรี่’ แค่นี้แหละ  อ่านปุ๊บก็ …. เออเว้ย  เสาก็ด่าคนเป็นด้วย  ทำไมเสามันมาด่าเราวะ ”

“เมื่อนั่งๆคิดดู ก็รู้สึกว่ามันก็จริงนะ เราอยู่ในชุมชนก็ทำตัวเหมือนปราชญ์จริงๆแหละ  พาเขาทำงานวิจัย  คุยรู้นั่นรู้นี่  รู้สารพัด ….. แต่เป็นทาสบุหรี่”

บางครั้ง ประโยคสั้นๆแค่เพียงประโยคเดียวที่มาถูกที่ถูกเวลา  ก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนๆหนึ่งไปทั้งชีวิต

สำหรับอ่างดิน ข้อความที่ปรากฏบนเสาในวันนี้  ก็คือประโยคนั้น

เมื่อคำพูดมันโดนใจ   ประตูใจที่เคยปิดไว้ก็เริ่มเปิดออก  ความรู้และข้อคิดก็เริ่มไหลเข้ามา

“พอมันโดนปุ๊บ  จากที่ไม่สนใจ ก็เริ่มมาเข้าแถวเลยทีนี้  มานั่งตามแถวที่เขาจัดให้ มานั่งฟัง เริ่มตั้งใจฟังพระเทศน์”

ด้วยความที่วัดสวนธรรม ก็คือวัดที่เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นศูนย์กลางการดำเนินงานของกลุ่มข้าวคุณธรรม  สิ่งที่ปรากฏอยู่ในเนื้อหาการอบรม ก็หนีไม่พ้นเรื่องของคุณธรรม  การละเลิกอบายมุข  การใช้ชีวิตแบบพอเพียง รวมไปถึงวิถีเกษตรอินทรีย์   ซึ่งเมื่อเริ่มตั้งใจฟัง  เนื้อหาเหล่านั้นก็เริ่มซึมซับเข้าไปในจิตใจของชายหนุ่มมากขึ้นๆ

“ตกเย็นมา เข้าที่พัก มันเป็นบ้านไม้ที่อยู่ในป่า  ข้างๆเป็นห้องน้ำ  ด้านหลังเป็นเมรุ   ตอนนั้นมีบุหรี่เหลืออยู่มากกว่าครึ่งซอง ก็เอาออกมาพร้อมไฟแช็ก  ก็เขวี้ยงเข้าหลังห้องน้ำเลย  ก็บอก ‘ฝากเมรุไว้ก่อน  ตายแล้วจะมาเอา’ ”

 

                ~ ชีวิตใหม่ ~

“วันที่อบรมวันสุดท้ายเนี่ย  มีสิ่งค้างคาใจอยู่อย่าง  คือปกติเวลาเราไปงานที่วัดอื่น พอรับศีลตอนเย็น ตอนเช้าก่อนออกเขาก็จะทำพิธีสึกให้  แต่ที่นี่ไม่ พอให้น้ำมนต์แล้วก็ปล่อยกลับบ้านไปเลย ไม่สึกให้  เราก็สงสัยสิว่า แล้วออกไปจะกินเหล้าได้ไหม  แต่ก็คิดว่า เอาวะ ไม่สึกก็ไม่เป็นไร  ก็เลิกมันทั้งเหล้าทั้งบุหรี่เนี่ยแหละ”

 

ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมอย่างแรก  เกิดขึ้นกับเงิน500บาทที่ได้รับจากการเข้าร่วมอบรม

“หลังจบการอบรม  เงิน500บาทที่ตอนแรกว่าจะเอาไปซื้อเหล้า  ก็เปลี่ยนใจ ให้พ่อพาขี่รถไปซื้อวิทยุ 450 บาทได้วิทยุเครื่องใหญ่มา  เพื่อที่จะเอามาฟังวิทยุชุมชน คลื่นของวัดสวนธรรมนี่แหละ”

ความจริงแล้ว – เขาเล่าว่า  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับธรรมะ  เพราะก่อนหน้านี้  เขาก็เคยบวชเป็นเวลาถึงสามเดือนสมัยที่กลับจากกรุงเทพใหม่ๆ  แต่นั่นก็เป็นเพียงการบวชไปตามประเพณี  บวชให้แม่ในฐานะลูกชาย   ทำให้ธรรมะต่างๆที่ได้รับ ก็ไม่ต่างอะไรจากลมพัดผ่านหู   เมื่อสึกออกมา –  เขาก็ยังคงเป็นชายหนุ่มผู้หลงระเริงกับชีวิตคนเดิม

แต่สำหรับครั้งนี้  ระยะเวลาเพียงแค่สี่วันที่วัดสวนธรรม  กลับทำให้ชายคนหนึ่งที่เคยเดินเข้ามาวัดพร้อมกลิ่นเหล้า  ได้เดินกลับออกไปพร้อมคติชีวิตแบบใหม่

“หลังซื้อวิทยุมา  ก็กลับถึงบ้านประมาณบ่ายสองบ่ายสาม  แต่ไม่เข้าบ้านนะ  ไปทุ่งนาต่อเลย  ไปขุดหลุมผ่าตัดดินตามที่ได้เรียนมา  ร้อนวิชา ไฟกำลังลุกท่วมเลย”

ผ่าตัดดิน คือภูมิปัญญาชาวบ้านในการปรับปรุงดิน ที่จะเปลี่ยนสภาพจากดินที่แข็ง ขาดธาตุอาหาร ให้กลับมาเป็นดินอุดมสมบูรณ์ เปี่ยมด้วยอินทรีย์วัตถุได้  โดยใช้วิธีขุดหลุมให้ลึกประมาณหนึ่งเมตร  เทราดด้วยน้ำหมักจุลินทรีย์  มูลสัตว์ และแกลบ  แล้วนำฟางหรือใบไม้แห้งมาถมๆกันจนมิดหลุม   ต่อจากนั้นก็เพียงรอเวลาให้อินทรีย์วัตถุย่อยสลาย ก็จะได้ดินดีเหมาะแก่การเจริญเติบโตของสรรพชีวิตกลับคืนมา

“วันนั้นทำไปได้ 5 หลุม  ตั้งใจจะเริ่มปลูกกล้วย  ทำจนถึงมืดเลย”

แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นมาตอนที่จะกลับบ้าน  ด้วยความที่บ้านกับนา จะอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร  และระหว่างทางก็มีวงเหล้าอยู่สองแห่ง ซึ่งเรียกว่า ด่านอรหันต์  ที่ปกติเขาจะแวะกินเหล้าทั้งสองแห่งนี้ประจำ

ความลำบากใจก็เกิดขึ้นตรงที่ว่า ถ้าเพื่อนชวนกินเหล้า จะปฏิเสธกลุ่มเพื่อนที่เคยเมาหัวราน้ำมาด้วยกันทุกๆวันอย่างไร

“มาๆ…ทิดกินเหล้า”   เสียงจากด่านอรหันต์ด่านแรกดังขึ้นเหมือนที่คาดไว้ไม่มีผิด

“เอาโลดครับ พอดีวันนี้ผมไม่สบาย กินยาอยู่”   การโกหกครั้งแรกเกิดขึ้น  รักษาศีลข้อห้าไว้ได้ แต่ดันไปตกที่ศีลข้อสี่แทนเสียนี่  พร้อมๆกับความสงสัยที่ฉุกขึ้นในใจว่า ‘จะไม่บาปเหรอวะ’

ผ่านด่านแรกมาได้  ก็เจอด่านสอง

“พี่…มาๆ…เป๊กๆ…เอาสักเป๊กนึงพี่”   งานเข้าครั้งที่สอง

“กินยาอยู่”

ยอมผิดศีลข้อสี่เป็นครั้งที่สองด้วยมุขเดิม   เหตุการณ์รับศีลแล้วพระไม่สึกให้ก็ยังวนเวียนอยู่ในความคิด

                ~ การต่อสู้ ~

ว่ากันว่า การต่อสู้ที่ยากที่สุดนั้น ก็คือการต่อสู้กับจิตใจของตนเอง

การเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ก็เช่นกัน มันไม่ใช่ทำง่ายๆเพียงแค่พอพูดว่าจะเลิกก็เลิกได้ แต่สิ่งที่ต้องต่อสู้นั้นก็คืออาการทางร่างกายที่เริ่มจะเรียกร้องสารบางชนิดที่ขาดหายไป

“พอถึงวันที่สามนี่หนักมาก  เริ่มรู้สึกเสี้ยนเหล้า  เสี้ยนบุหรี่มาก”

การขาดเหล้า ขาดบุหรี่ ประกอบกับความเหนื่อยล้าทางร่างกายจากการโหมทำงานหนักในที่นามาสามวัน  ก็เริ่มทำให้สภาพจิตใจเริ่มอ่อนแอลง  ความมุ่งมั่นที่เคยตั้งไว้เริ่มสั่นคลอน

“จิตใจเริ่มวอกแวกละ  ใจนึงก็บอก ไปกินเถอะแน๊ บ่มีไผสิจับ กินเหล้าสูบยา ใครเขาบ่จับดอก อีกใจก็บอก ถ้าเลิกได้ก็เป็นผลดีต่อสุขภาพเรา

ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยง  เขาจึงเลือกใช้วิธีทำงาน ทำงาน ทำงาน เพื่อหวังที่จะลืมความสับสนทั้งมวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ แต่สถานการณ์ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น  ยิ่งทำงานไป เปิดวิทยุฟังไป  ได้ยินข่าวเหตุบ้านการเมืองที่ร้อนระอุ  ความหงุดหงิดในใจโหมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี

“ตอนนั้นก็รอแต่จะให้จบรายการ เพื่อที่จะฟังรายการต่อไปของกระแสบุญ หวังจะเติมกำลังใจ ได้ฟังสิ่งดีๆให้ผ่อนคลายบ้าง”

“แต่พอถึงเวลา  ปรากฏว่าเป็นเสียงของพ่อใหญ่นิคมมาจัดรายการต่อ  ได้ยินแค่นั้นผมแทบจะเตะวิทยุเลย  หงุดหงิดก็หงุดหงิด  หิวเหล้าก็หิว  แกก็พูดไปพูดไป เราฟังไม่รู้เรื่องแล้วว่าพูดอะไร”

แต่ไม่รู้ด้วยความโชคดีหรือโชคชะตาฟ้าลิขิตประการใด  ที่ทำให้เขา – ผู้ที่หงุดหงิดจนแทบจะเตะวิทยุในวันนั้น  ไม่ยอมปิดวิทยุ  จนกระทั่งได้ทันฟังประโยคเด็ดประโยคสุดท้ายของพ่อใหญ่นิคม

“ก่อนหน้านั้นไม่รู้แกพูดอะไร  แต่มาได้ยินตอนประโยคสุดท้ายก่อนแกจะจบรายการว่า  ขณะที่พวกเจ้าเห็นหมามันกำลังกินขี้อยู่เนี่ย  เจ้าเป็นคนแท้ๆเป็นหยังเจ้าถึงก้มลงไปกินกับมัน’

“ป๊าดดดด…โดนใจ  ปิ๊งเลยคราวนี้  อาการเสี้ยนเหล้าที่เป็นอยู่เนี่ย  หายไปเลย”

“จากนั้นก็อยากมาวัดเลยทีนี้  อยากมาเล่าให้พ่อนิคมฟัง ให้คนนั้นคนนี้ฟังว่า ผมเลิกเหล้าได้แล้วจากประโยคของพ่อนิคมครั้งนั้น  พอบอกไปเขาก็ตอบกลับมาว่า…สาธุ”

สาธุ  แปลว่า  ดีแล้ว….

 

หากเปรียบการต่อสู้เพื่อการเลิกเหล้าครั้งนี้เป็นมวย   ยกแรกก็คงเป็นการต่อสู้กับความอยากที่เกิดขึ้นกับจิตใจและร่างกายของตัวเอง  ซึ่งในยกนี้เขาก็ได้เอาชนะอย่างใสสะอาดแล้ว  แต่อุปสรรคยังไม่หมดลงเพียงเท่านี้  เพราะระฆังเริ่มต้นยกที่สองเพิ่งจะดังขึ้น

“ตอนกลับบ้านก็ต้องเดินผ่านวงเหล้าทุกวัน เขาก็ชวนอยู่ทุกวัน  เราก็ปฏิเสธแบบเดิมอยู่ทุกวัน จนพอโกหกนานวันเข้า  ก็มีคนๆหนึ่งชื่อปุ่ง เป็นเซียนพนันในชุมชน วันๆไม่ทำอะไร หากินด้วยการพนันอย่างเดียว  มาหาเราถึงบ้านแล้วถามว่า เป็นหยังเจ้าคือลืมโลกคักแท้’

เซียนพนันหมายถึงว่า เจ้าเป็นอะไร ทำไมอยู่ดีๆก็กลับลำ ลืมโลกของเจ้าแล้วหรือ

“เพราะโลกของผมในวันนั้น คือโลกที่ตกเย็นต้องมานั่งอยู่สี่แยก เล่นกีต้าร์ กินเหล้า เตะตะกร้อ  เป็นนักเลงอยู่แถวนั้น  พอมันทวนกระแสปุ๊บ เขาเลยตามมาถามถึงที่บ้าน”

คำตอบ….ก็คือคำตอบเดิมที่ใช้เป็นครั้งที่ 628 ว่า  “บ่สบาย กินยารักษาตัวอยู่ที่บ้าน”

 

มุขเดิมๆที่ใช้ซ้ำๆกันมาเกือบจะทั้งปี  เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าคนที่ได้ฟังจะเชื่อ  เพียงแต่เป็นการพูดปัดๆไปเพื่อถนอมน้ำใจและรักษามิตรภาพเอาไว้เท่านั้นเอง  เพราะเขารู้ว่าถ้าหากบอกไปตรงๆว่าบ่กินดอก เซาแล้ว’ คำพูดที่ได้รับกลับมาก็คงหนีไม่พ้น มันจะได้จักกี่มื้อน้อ’ ซึ่งก็มีแต่จะทำให้เสียความรู้สึกทั้งสองฝ่าย

รวมทั้งเหตุผลสำคัญอีกอย่างคือ เขาก็ยังไม่มั่นใจในตัวเองนัก ว่าจะเลิกได้ขาด

แต่สุดท้าย เวลาผ่านไปนานเข้าจนเกือบปี  คำพูดที่เขาไม่ค่อยจะอยากได้ยินนักก็มาเข้าหูเขาจนได้

มันจะไปได้จั๊กมื้อ…” 

ยิ่งหันมาเลิกใช้ปุ๋ยใช้ยา  แล้วหันมาทำเกษตรอินทรีย์ด้วยแล้ว  ก็ยิ่งเป็นที่จับตามอง  ก็มีคำพูดที่ลอยมาให้ได้ยินว่า

มันจะเลิศเลอไปไหน  มันจะขึ้นสวรรค์มันจะเหาะได้แม่นบ่”

“ตอนนั้นก็เริ่มเครียด  ชุมชนก็เริ่มต่อต้านเรา  คือขายของก็ได้ราคาดีกว่าเขา อย่างแตงที่ปลูกก็ดีกว่าเขา  เขาก็เริ่มหมั่นไส้”

นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว คือวิธีที่เขาใช้สำหรับคำพูดเหล่านั้น  ใครจะพูดอะไรก็ไม่สนใจ ปล่อยไป

“ตอนนี้เป็นสิงห์หน้าโบสถ์ละ คือยืนนิ่งๆ  ยืนอ้าปากอยู่นั่นแหละ  ใครจะทำอะไรก็ไม่สนล่ะ  แต่ก่อนนี่เป็นเสือ ใครทำอะไรให้ไม่พอใจ  กัดอย่างเดียว  สุดท้ายพอเรานิ่งๆไม่สนใจ เขาก็หยุดพูดไปเอง”

จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์ที่ทำให้จิตใจไขว้เขวที่สุดก็คือ ช่วงใกล้งานเทศกาลประจำปี ที่เขารู้ว่าบรรดาเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนานจะแห่กันมามากมาย

และแน่นอน…ที่ขาดไม่ได้ก็คือ เหล้า

การตัดสินใจครั้งสำคัญกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง   ด้านหนึ่งคือมิตรภาพกับเหตุผลที่ว่านานๆกินทีคงไม่เป็นไร ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือความรู้สึกที่ว่าไม่อยากจะผิดความตั้งใจที่ให้ไว้กับตัวเอง

 

ขึ้นชื่อว่าการต่อสู้  ไม่ว่าจะเป็นในสมรภูมิไหนๆ  หากมันเป็นการต่อสู้อย่างเดียวดายแล้ว  โอกาสแพ้พ่ายย่อมมีสูง    แต่ถ้าหากมีคนส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ แรงพลังที่ขาดช่วงไปก็อาจจะได้กลับคืน

บนเส้นทางแห่งการหันหลังให้อบายมุขของอ่างดินก็เช่นกัน  ทุกครั้งที่กำลังใจอ่อนล้า หรือจิตใจเริ่มไขว้เขว  สถานที่ที่เขาจะมาเติมเต็มความเชื่อมั่น ก็คือวัดป่าสวนธรรม– วัดที่เขาถูกเสาด่านั่นแหละ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำบุญมาดีหรืออย่างไร  เพราะทุกๆครั้งที่จิตใจเริ่มหวั่นไหวออกนอกลู่นอกทาง ก็มักจะมีเหตุการณ์ที่ส่งประโยคเด็ดโดนใจมาให้เขาทุกครั้ง   และครั้งนี้ก็เช่นกัน

“ตอนนั้นที่วัดสวนธรรมมีงานอบรมขึ้นพอดี  ก็ได้โอกาสเข้าไปฟังด้วย หวังเติมแรงบันดาลใจ”

และก็ไม่ผิดหวัง เมื่อถึงคราวของ ‘พ่อปาน’ ผู้ที่ผ่านประสบการณ์ติดเหล้าอย่างงอมแงมมาก่อนเป็นผู้พูดบนเวที

“ก็มีคนที่มาร่วมอบรมตั้งประเด็นถามพ่อปานว่า จะตอบคำถามเพื่อนยังไงเวลาเพื่อนชวนกินเหล้า   เออ…  ประเด็นนี้โดนเว้ย  ก็ตั้งใจฟัง”

คำตอบสั้นๆของพ่อปานก็คือ  ‘กินโลดสู…กูอิ่มแล้ว’

“เอ้ออออ … เป๊ะ …ได้เลย  ไม่ต้องโกหกแล้ว”

หลังจากได้ประโยคเด็ดนี้มา   อ่างดินก็ไม่ต้องผิดศีลอีกไม่ว่าจะเป็นข้อห้าหรือข้อสี่จนถึงทุกวันนี้

 

 

          ~ เส้นทางสายคุณธรรม

หลังจากพิสูจน์ดูใจตัวเองมาปีกว่า    ปี2552 อ่างดินจึงตัดสินใจแน่วแน่ ในการสมัครเป็นชาวนาคุณธรรม  และเลือกเดินบนเส้นทางสายนี้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยขอพื้นที่นาจากพ่อมา 6 ไร่ เพื่อมาทำตรงนี้  ซึ่งพ่อก็อนุญาตแต่โดยดี เนื่องจากเห็นการประพฤติตัวใหม่ของลูกชายมาแล้วหนึ่งปีเต็มๆ

จากที่เคยมาวัดแล้วนั่งแอบอยู่หลังเสาด้วยกลัวหลวงพ่อเรียกใช้  ก็กลายเป็นคนที่ก้าวเข้ามาอาสาช่วยงานต่างๆของวัด โดยไม่เกี่ยงงาน ทำทุกอย่างตั้งแต่ขนฟาง  งานในครัว รวมไปจนถึงล้างห้องน้ำ

เมื่อมาช่วยงานทางวัดมากขึ้น  ด้วยนิสัยความใฝ่รู้ ก็ทำให้เขาได้มีโอกาสลงพื้นที่ไปฝึกงานเป็นนักส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มชาวนาคุณธรรมกับ “พี่ต้อย”

“ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะไปเป็นนักส่งเสริมหรอก  แต่อยากไปดูวิธีทำวิจัย  พอดีมีเพื่อนที่บ้านกุดหินเป็นทีมวิจัย ก็ว่าจะไปเยี่ยมเขา  ศึกษาวิธีทำวิจัยเขา”

ไปๆมาๆฝึกงานไปฝึกงานมา  ก็เลยกลายเป็นว่า ได้เป็นนักส่งเสริมเต็มตัว  ทำหน้าที่ตรวจแปลงของสมาชิกในกลุ่มให้เป็นไปตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์  พร้อมทั้งแนะนำวิธีการต่างๆให้สมาชิก

ในการนี้ นอกจากจะได้หน้าที่รับผิดชอบใหม่แล้ว  ยังได้แฟนกลับมา 1 คน จากการเจอกันตอนลงพื้นที่ที่อำนาจเจริญ ซึ่งเป็นนักวิจัยที่ทำงานด้านเอกสารและคอมพิวเตอร์อยู่ที่นั่น และคบหาจนกระทั่งแต่งงานกันเมื่อต้นปี2554

 

 

“ทุกวันนี้  ความคิดก็คืออยากทำงานช่วยคนที่เราคิดว่าลำบากที่สุดในกลุ่มข้าวคุณธรรมก็คือพี่ต้อย  เพราะมันเป็นหน้าที่ที่เหนื่อยและงานเยอะ  ลงพื้นที่  ตรวจแปลงของสมาชิกในกลุ่ม  ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปหลายๆที่  แต่ละที่ก็ใกล้กันซะที่ไหน ตั้งสี่จังหวัด  ตอนนี้ที่ศรีษะเกษ ร้อยเอ็ดก็เริ่มมีแล้ว  งานทุกอย่างก็กระจุกที่พี่ต้อย  แม้แต่งานโรงสี  ดูแลสต๊อกข้าว ก็ต้องช่วย   เห็นพี่ต้อยเหนื่อย เราก็เลยอยากช่วย”

แม้ใจจริงจะรู้สึกอยากลาออกจากการเป็นนักส่งเสริม แล้วกลับไปทำนาตัวเองให้เต็มที่  สร้างผลผลิตให้สมกับที่เป็นนักส่งเสริมไปส่งเสริมคนอื่น  อยากดูแลครอบครัวให้เต็มที่   แต่บางครั้งกับสภาวะที่เห็น เขาก็มิอาจตัดใจลาออกไปได้ เพราะด้วยความที่งานเยอะ และงานอาสา – อย่างว่า จะมีใครสักกี่คนที่ยินดีมาทำ

 

เมื่อพูดถึงการเป็นชาวนา  อดีตนักเลงอย่างเขาบอกว่า

“คิดว่ามันเป็นอาชีพที่เหมาะสมกับเรานะ ทำแล้วสบายใจ ไม่ต้องเป็นขี้ข้าใคร  เราทำนาให้คนได้กินข้าว เรามีความสุขกับที่นี่  เหนื่อยก็พักได้  หิวก็กินน้ำได้   มีผักในสวน  ปลาก็เลี้ยงไว้  ไก่ก็เลี้ยงไว้  อยากกินเมื่อไหร่ก็มีกิน  เราแทบจะไม่ต้องพึ่งข้างนอก  ได้อยู่กับหลาน  ได้เก็บแตง หลานก็มาช่วยเก็บช่วยขาย ได้ปลูกฝังหลานถึงวิธีการเป็นพ่อค้า  สอนให้รู้จักการเอาตัวรอด การทำเกษตร เขาก็ได้อยู่กับเรา   ที่ทำวันนี้ก็ไม่ได้คิดว่าทำกินคนเดียว  แต่ทำเพื่อให้ลูกหลานได้เรียนรู้  เพื่อให้เราจะได้ไม่เป็นชาวนารุ่นสุดท้าย  เพราะอย่างน้อยหลานเรามันก็ทำเป็น  เพราะว่าเราหัดให้มันทำเป็น หัดให้มันขยัน”

หลายๆคนอาจมองว่าชาวนาเป็นอาชีพที่ลำบาก ตากแดดตากฝนตัวดำ  แต่เขากลับคิดกลับกัน

“มันบ่แม่นความลำบาก   อย่างพวกคุณอยู่กรุงเทพ ความสุขของพวกคุณก็อาจจะเป็นการได้ไปห้าง ไปช้อปปิ้ง  แต่ความสุขของพวกผมก็คือการได้ใส่เสื้อม่อฮ่อม ถือจอบไปขุดดินปลูกผัก  ได้คุยกับคนกลุ่มเดียวกัน แลกเปลี่ยนความรู้กัน   มันเป็นสุทรียภาพของพวกเราน่ะ มันไม่ใช่ความลำบาก  ถ้าเป็นคนเมืองเขาก็มีความสุขในแบบของเขา แต่การได้ออกไปทำนาคือสุนทรียภาพในแบบของเรา”

“อย่างแดดเนี่ย  เราไม่ได้พะวงถึงแดด  เราไม่ได้เห็นแดดนะ แต่เราเห็นงานที่มีความสุขมากกว่า เพราะงานที่เรามีความสุขมันอยู่ม่องแดด  เราเลยไปเฮ็ดอยู่ที่ม่องนั้น  ถ้ามันสุขอยู่ม่องร่ม ก็มาเฮ็ดที่ม่องร่ม”

เมื่อมองไปถึงอนาคต สิ่งที่เขาอยากจะทำก็คือ

“อยากปลูกผัก เลี้ยงปลา ทำอาหารไว้เลี้ยงครอบครัวของตนให้ได้   ให้ลูกของผมที่จะเกิดมาและหลานที่โตมามีพื้นที่ทำกินเป็นของตัวเอง   จะได้ไม่ต้องวิ่งเข้าไปหางานในกรุงเทพ ไปรับใช้เขา ไปเป็นทาสอยู่ในเมืองใหญ่  ทั้งๆที่นาตัวเองก็มีกิน  ถ้าอยากได้เงินมันก็ได้ ขอให้ขยันเถอะ    ถ้าขยัน มันมีมาอยู่แล้วเงินน่ะ   ปลูกผัก มีดิน มีน้ำ ที่ดินก็มี วัวก็มี เอาขี้มาใส่   เอาผักไปขาย   เสื้อตัวนึง ใส่ปีนึงก็ไม่ขาด  เราไม่จำเป็นต้องไปตามแฟชั่น ชุดนึงก็ไปได้หมด ขึ้นธนาคารได้ เข้าห้างได้เหมือนกัน”

 

จริงหรือไม่ที่ว่า เราไม่สามารถตัดสินใครว่าดีหรือเลวได้จากการกระทำที่เห็น เพราะแท้จริงแล้วนั้นคงไม่มีใครบนโลกนี้อยากเกิดมาเพื่อที่จะเป็นคนเลว หากแต่บางครั้งกระแสสังคมที่เชี่ยวกรากอาจพัดพาให้คนบางคนหลงผิดหน้ามืดตามัวไปบ้าง  แต่เมื่อใดที่แสงสว่างส่องมาถึง  ก็ไม่แน่ว่าเมื่อนั้นธาตุดีที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของเขาอาจปรากฏ

ดังเช่นชายหนุ่มอดีตนักเลงคนนี้  ที่ในอดีตก็เคยเป็นเพียงวัยรุ่นขี้เมาผู้สร้างปัญหาให้สังคมคนหนึ่ง  แต่วันนี้เขากลับกลายเป็นแรงพลังสำคัญของชุมชน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มให้เดินหน้า  รวมทั้งเป็นกระดูกสันหลังของชาติผู้ยืนหยัดอยู่บนผืนนาอย่างมีศักดิ์ศรี บนฐานการผลิตแห่งการพึ่งตนเองและคุณธรรม

จากคำพูดที่ว่า  ‘คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้’  –  เรื่องราวของชายหนุ่มคนนี้ก็คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนยิ่งสำหรับคำกล่าวนั้น

 

 

 

 

เรื่องราวของหญิงชาวนา…ที่ไม่ได้ยากจน น่าสงสาร อย่างที่เคยรู้


แม่ปิ่นอนงค์  บุ้งทอง

– –  ชาวนาคุณธรรมแห่ง อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร – –

 

 

เป็นอะไรที่ดีมากเลยนะ การทำเกษตรอินทรีย์แล้วก็การเป็นชาวนาคุณธรรมเนี่ย 

แม่ปิ่นเล่าถึงสิ่งที่ทำให้ฟังด้วยรอยยิ้ม

“ทำอย่างนี้ เรามีหมู่มีกลุ่ม ไม่ต้องไปพึ่งนายทุน ไม่ต้องไปพึ่งตลาด  ไม่ต้องไปให้เขาโกง   แต่ก่อนตอนที่ทำเคมีก็เป็นหนี้  ได้เงินมาก็ไม่พอใช้   แต่วันนี้มีเงินเหลือใช้หนี้ได้  ปีละหมื่นสองหมื่น   ทุกวันนี้ที่บ้านแม่ปิ่นไม่มีอะไรมาก แต่มีอย่างละเล็กละน้อยทุกอย่าง  สมุนไพรที่หมอเขียวบอก สิบกว่าอย่างมีหมดเลย  เดินจากหน้าบ้านถึงหลังบ้านก็พอแล้ว  จะกินข้าว แค่เดินรอบบ้านก็มีผักกินได้ แค่นี้ก็พอแล้วไม่ต้องมีอะไรมาก ก็อย่างที่อาโจน จันใดบอกแหละ  ทำชีวิตให้ง่ายเข้าไว้”

สังเกตจากน้ำเสียงและรอยยิ้มบนใบหน้า  ก็คงไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ชีวิตการเป็นชาวนาคุณธรรมของแม่ปิ่นอนงค์นั้น  มีความสุขเพียงไร

 

                ~กว่าจะมีวันนี้~

แต่บนเส้นทางชีวิต …กว่าที่ใครคนหนึงจะเดินทางมาพบกับจุดที่เหมาะสมกับตัวเองได้นั้น   บางครั้งก็ต้องผ่านเส้นทางอันคดเคี้ยววกวนมาก่อน

แม่ปิ่นอนงค์ก็เช่นกัน  กว่าที่จะมาเป็นชาวนาที่ทำนาอย่างมีความสุขอย่างในทุกวันนี้   ลูกชาวนาอย่างเธอก็เคยบินออกนอกเส้นทางไปไกล   – ก็เช่นเดียวกับลูกชาวนาทั่วไป ที่พ่อแม่ไม่ได้อยากให้เป็นชาวนา   เด็กหญิงปิ่นอนงค์จึงตัดสินใจตามใจพ่อแม่ด้วยการหันหลังให้อาชีพกระดูกสันหลังของชาติ  แล้วก้าวเข้าสู่เมืองหลวงหลังจากเรียนจบสายอาชีพ

เปลี่ยนจากอาชีพที่ต้องตากแดดตามฝน  มาเป็นอาชีพที่ได้ตากลมในห้องแอร์ – อาชีพช่างเสริมสวย

แม้ว่าอาชีพนั้นจะทำให้เธอมีกินมีใช้ได้อย่างไม่ขัดสน ให้ความสะดวกสบายในแบบที่อาชีพชาวนาให้ไม่ได้  แต่บางครั้งก็ใช่ว่าการเงินที่ดีและความสุขสบายภายนอก  จะบันดาลความสุขภายในให้เสมอไป   เพราะสิ่งที่ปรากฏขึ้นในหัวใจของสาวจากบ้านนาก็คือ ชีวิตแบบนี้ – มันไม่ใช่ !

“ไปอยู่ห้องแอร์ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเรา  เราชอบธรรมชาติ   ชอบทุ่งนา  เราไม่ชอบเสียงรถวิ่ง  ไม่ชอบที่อยู่กับคนเยอะๆแล้วไม่รู้ใครเป็นใคร  ขนาดอยู่ใกล้ๆกันเราก็ไม่รู้จัก”

หลังจากทนอยู่ได้ปีกว่า  สาวปิ่นก็ตัดสินใจกลับบ้าน และได้แต่งงานกับชายหนุ่มบ้านเดียวกันและช่วยกันทำนา  แต่สุดท้าย ก็มีเหตุที่ทำให้ทั้งสองเลิกรากัน   และเมื่อแม่ปิ่นได้แต่งงานใหม่  เธอจึงเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการเปิดร้านเสริมสวยที่ใต้ถุนบ้าน  จากนั้นก็เปลี่ยนมาค้าขาย  โดยขอยืมเงินจากนายทุนมาลงทุน

แม้ว่ากิจการไปได้ดี  มีเงินเก็บพอสมควร แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่ทำให้เธอพบกับคำว่าความสุขอย่างแท้จริง

“ เราก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขแต่เราก็ต้องทำ   ก็เพราะความอยากมีเหมือนเขานั่นแหละ  เห็นเขามีอะไรก็อยากมีบ้าง

เราก็ต้องไขว่คว้าหาอันนั้น  เราอยากได้ มันก็ต้องได้ เราก็ต้องทำๆๆอยู่อย่างนั้น   บางทีตีสองตีสามก็ต้องตื่นขับรถไปแล้ว อย่างขายสินค้าเงินผ่อนไป ก็ต้องไปทวงเงินจากเขา ซึ่งเราลำบากใจมาก บางทีก็ต้องไปทะเลาะกับเขา  เราไม่สบายใจ ไม่มีความสุขเลย แต่ก็ต้องทำเพื่อให้ได้เงินมา เราไม่อยากให้ชาวบ้านดูถูกเรา

ชีวิตแม่ปิ่นในวันเวลานั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากปลาตัวหนึ่งซึ่งว่ายไปตามฝูง  ดิ้นรน แข่งขัน  ว่ายอย่างสุดกำลังเพียงเพื่อให้ไม่ตกเป็นที่รั้งท้ายของฝูง  แต่แล้ววันหนึ่งก็มีบางสิ่ง ที่มาเตือนสติให้ปลาตัวนั้นหยุดว่าย  – หยุดว่ายตามเขา แล้วกลับมาว่ายในเส้นทางของเรา

สิ่งนั้น ก็คือ ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

สิ่งนั้นทำให้ปลาอย่างแม่ปิ่นได้หยุดคิด  ประกอบกับได้ฟังวิทยุชุมชนคลื่น91.5 ของมูลนิธิธรรมะร่วมใจโดยบังเอิญ ในวันหนึ่งที่เปิดเจอขณะขับรถ  สิ่งที่ได้ฟังวันนั้น ก็ยิ่งตอกย้ำให้แม่ปิ่นชัดเจนขึ้นในเรื่องของความพอเพียงและการพึ่งตนเอง    ยิ่งได้ฟังมากขึ้น  ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจ จนกระทั่งในที่สุดจึงตัดสินใจคุยกับสามีว่า จะหยุดกิจการค้าขายทั้งหมด  หยุดการวิ่งไล่ไขว่คว้า  แล้วหันมาเดินตามรอยเท้าพ่อหลวง  —  เส้นทางแห่งความพอเพียง

“ก็คุยกับแฟนว่า เลิกเถอะ เรามีพออยู่พอกินแล้ว บ้านเราก็มีเล็กๆหลังนึง ก็พออยู่ได้  โชคดีที่แฟนเข้าใจ”

หลังจากตัดสินใจอย่างนั้น   เงินครึ่งแสนที่ตามเก็บไม่ได้ จากคนที่ซื้อสินค้าเงินผ่อนไป  เธอตัดสินใจยกหนี้ให้ทั้งหมด  โดยไม่ไปตามทวงอีกเลย  – คิดซะว่า มันเป็นกรรมของเราที่เคยไปเอาของคนอื่นเขามา  เธอว่าอย่างนั้น แล้วหันมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งด้วยการกลับไปช่วยพ่อแม่ทำนา

 

                ~สู่เส้นทางชาวนา~

ก็เช่นเดียวกับชาวนาทั่วไป ที่พ่อแม่ของเธอยังคงทำนาแบบเคมี  ด้วยความที่เธอเป็นลูก ช่วงแรกๆจึงยังทำตามวิธีการของพ่อแม่   จนกระทั่งปี 2546 เธอจึงตัดสินใจเอ่ยปากขอแบ่งที่นาบางส่วนมาเพื่อทำเป็นของตัวเอง ซึ่งก็ได้มา10ไร่

แม้ช่วงเวลานั้น เธอพอจะได้ยินได้ฟังเรื่องเกษตรอินทรีย์มาบ้าง  แต่ก็ยังไม่กระจ่างชัด และเกษตรอินทรีย์ในเวลานั้นยังไม่แพร่หลาย การหาซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นอย่างกากน้ำตาลก็ยังหาซื้อยากอยู่  เธอจึงแค่เป็นผู้ได้ยินได้ฟัง แต่ยังไม่ลงมือปฏิบัติ

จนกระทั่งปี2547 มีงานอบรมเกษตรอินทรีย์ที่จัดโดยธกส.และมีวัตถุดิบที่จำเป็นขาย   นาอินทรีย์แนวทดลองครั้งแรกจึงเกิดขึ้น โดยใช้ขี้วัว ขี้ควายที่เก็บจากตามถนน บวกกับปุ๋ยเคมีบ้างเล็กน้อย   ต่อมาจนถึงปี 2548 ได้มาอบรมที่วัดป่าสวนธรรม  หนทางเกษตรอินทรีย์และหนทางชีวิตก็ยิ่งชัดเจน  เหมือนกับว่า ได้เจอสิ่งกับที่รอคอยมานาน

“มาเจอวัดสวนธรรมแล้วรู้สึกว่า โอ้โห เราเจอแล้ว …. ชอบมาก  ชอบทั้งเรื่องอาหาร ชอบทั้งเรื่องการอยู่การกิน  เรื่องธรรมะ ชอบทุกอย่าง คือคนในกลุ่มเราจะไม่พูดเสียงดัง ไม่ติฉินนินทา มีสัมมาคารวะ  นี่คือสิ่งที่อยากจะเห็นมานานแล้ว เป็นความรู้สึกลึกๆในใจที่มันเกิดขึ้นเองเลย”

ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่น ก็คงเรียกว่า – มันโดนใจ –

แล้วหลังจากนั้น  ผืนนาสิบไร่ของแม่ปิ่นอนงค์ ก็ไม่ได้ลิ้มรสสารเคมีใดๆอีกเลย

นอกจากสารเคมีจะไม่ได้ย่างกรายเข้าไปในที่นาแล้ว  จากนาโล่งๆที่เคยปลูกแต่ข้าว ก็เริ่มมีพืชผักสวนครัวและสมุนไพรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ด้วยความคิดที่ว่าทำอย่างไรถึงจะมีอยู่มีกินอย่างยั่งยืน   เริ่มต้นจากผักที่กินบ่อยที่สุดอย่างพริก มะเขือ  จนวันนี้แม่ปิ่นบอกว่า จะกินข้าวแต่ละมื้อ แค่เดินจากหน้าบ้านไปถึงหลังบ้านก็มีกินแล้ว  ทั้งพืชผักสวนครัวและพืชผักสมุนไพร

จากแต่เดิมที่ดินไม่ดี ปลูกผักไม่งาม ก็ได้เทคนิคการผ่าตัดดินที่เรียนมาจากวัดสวนธรรมไปใช้   คือการขุดหน้าดินเป็นแนวยาว ลึกประมาณ 50 เซนติเมตรหรือมากกว่า  โดยมีหน้ากว้าง1-2 เมตร  แล้วเอาน้ำหมักหรือขี้วัวขี้ควายเทลงไป  ใส่แกลบ  ใส่เศษฟางเศษใบไม้จนเต็มหลุม  ทิ้งไว้ให้ย่อยสลาย ก็จะเนรมิตดินที่เคยแข็งกระด้างให้กลายเป็นดินดีอันอุดมไปด้วยธาตุอาหารได้

จากที่พ่อแม่ไม่เชื่อว่าเกษตรอินทรีย์จะกินได้  แต่เมื่อเธอทำให้นาสิบไร่มีข้าวงามจนเห็นผลชัดเจน พ่อแม่ก็ยอมรับในแนวทาง จนยินดีที่จะยกนาทั้งหมด 30 ไร่ที่เคยเป็นเคมี ให้แม่ปิ่นอนงค์เป็นผู้รับผิดชอบในการปรับเปลี่ยนสู่อินทรีย์

และเมื่อปี 2550  กลุ่มชาวนาคุณธรรม ก็ได้สมาชิกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งครอบครัว

 

~ เกษตรอินทรีย์นี่มันดีจริงๆ ~

สำหรับนาของแม่ปิ่นแล้ว  – แค่ปีแรก ก็ได้ผลดี

“ผลผลิตก็เพิ่ม ก็ดีกว่าทำเคมีเยอะเลย ไม่มีแมลงไม่มีอะไร  ช่วงปีแรกที่ทำก็ดีแล้ว อาจจะเป็นเพราะปีนั้นฝนดีด้วย”

อาจจะยังไม่แน่ใจ – ว่าที่ผลผลิตดี นั่นเป็นเพราะฝนดีหรือเป็นเพราะวิธีการกันแน่  แต่ทุกอย่างก็มากระจ่างชัดเมื่อปี 2552

“ปีนั้น อีสานนี่แล้งหมดเลย  คนในหมู่บ้านนี่ข้าวแทบไม่มีจะกินเพราะแล้งมาก  แต่แม่ปิ่นมีข้าวขาย  ตอนขนข้าวใส่รถไปขาย เขาถามว่าขนปุ๋ยเหรอ   เราก็บอก ไม่ใช่… เราขนข้าว เขาแทบไม่เชื่อเลย”

“ทั้งๆที่คนในหมู่บ้านที่ทำเคมีไม่มีจะกิน แต่แม่ปิ่นมีเหลือกิน ทั้งๆที่พันธุ์เดียวกันและพื้นที่เดียวกันกับเพื่อนเนี่ยแหละ  เขามาขอซื้อ แต่แม่ปิ่นบอกไม่ขาย  ให้เขายืมกินแทน  แล้วบอกว่าปีหน้าถ้ามีค่อยเอามาคืน  ถ้ายังไม่มีอีก ก็ปีต่อไปก็ได้ คืออยากแบ่งปันคนอื่น ไม่ได้คิดดอกเบี้ยอะไรเลยนะ  นี่แหละ คือผลดีของเกษตรอินทรีย์”

เกษตรอินทรีย์ ที่ไม่ใช่แค่ช่วยให้ผลผลิตข้าวงอกงาม  แต่ได้ทำให้บางสิ่งในหัวใจของแม่ปิ่นงอกงามขึ้นตามไปด้วย

“จากที่เราไม่มีอะไรเลย  เดี๋ยวนี้คนอื่นเขามาขอเรากินหมด  อย่างน้ำเต้าที่เราหว่านไว้ เราก็เก็บมาแจกชาวบ้านได้เต็มเลย วันละเป็นกระสอบๆ  เขาถามขายเท่าไหร่เราบอกไม่ขาย ไม่รู้จะเอาเงินไปทำไม   มันไม่คุ้มกัน เราอยากให้เขากินดีกว่า เพราะเราไม่ได้ลงทุนอะไร เราแค่ไปไถนาแล้วก็หว่าน”

ไม่ใช่แค่น้ำเต้า  แต่ไม่ว่าจะเป็นมะเขือ  พริก  กล้วย กะทกรก มะละกอ มะม่วง แก้วมังกร  และผักผลไม้หลากชนิด  ก็มีเพื่อนบ้านมาขอซื้อ  แต่แม่ปิ่นก็ยืนยันที่จะไม่ขาย  … แต่ให้เดินไปเก็บเอง

“เราก็บอก สวนนี้ถ้าไม่มีใครอยู่ แล้วอยากได้อะไรก็เชิญมาเก็บเลย  ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นการขโมย เพราะฉันปลูกไว้ให้แล้ว”

แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ที่แม้ว่าจะอนุญาตขนาดนี้  ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่มีคนมาเก็บไปจนไม่เหลือให้คนปลูกกินเลยสักครั้ง

“เขายังแปลกใจเลยว่า  ทั้งๆที่นากับบ้านก็ห่างกันกิโลกว่า แล้วก็อยู่ข้างดงข้างป่า  ซึ่งปกติจะมีคนไปขโมยจนคนปลูกไม่ได้กิน   แต่ของแม่ปิ่นไม่มีใครขโมยเลย  อาจมีคนเก็บไปบ้าง แต่มันก็ยังเหลือ”

บางที นี่อาจเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของคำพูดที่ว่า คนเป็นผู้ให้ย่อมไม่เคยอับจน

“เรามีผักผลไม้ในบ้าน อย่างละเล็กละน้อย พอจะเลี้ยงครอบครัวเราและแบ่งปันให้คนอื่นได้นิดหน่อย แต่เราก็พอใจแล้วนะแค่นี้  ไม่ต้องสรรหาอะไรมากมาย ไม่เคยคิดอยากจะกินโน่นกินนี่ในตลาด   แค่อยู่บ้านเรา ก็ทำอะไรกินได้แล้ว  ผักก็เก็บสดๆมันก็อร่อยแล้ว   ไม่ต้องไปปรุงแต่งอะไรมากมาย  นี่แหละเกษตรอินทรีย์ แม่ปิ่นคิดว่าดีมากเลย” 

ถ้าเทียบกับการทำนาเคมีก่อนหน้านี่  เรียกได้ว่า คนละเรื่อง

“อย่างแต่ก่อน พ่อก็ทำเคมี   ถ้าปีนี้ใส่ปุ๋ยสิบกระสอบ  ปีต่อๆมาก็ต้องใส่เพิ่มเรื่อยๆ  ขายข้าวได้เกือบแสน  แต่สุดท้ายไม่เหลืออะไรเลยเพราะหักค่าปุ๋ยไปหมดแล้ว  ต้นทุนมันสูง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ  ชาวนาทำนาแล้วก็ยังเป็นหนี้ ทำปีไหนก็บอกว่าเป็นหนี้   แต่พอแม่ปิ่นเปลี่ยนมาเป็นเกษตรอินทรีย์ มันก็มีเงินเหลือนะ  แม้จะขายโรงสีเดียวกัน ราคาเดียวกัน  แต่เราก็ยังมีเหลือ เพราะต้นทุนเราน้อยไง เราไม่ใช้สารเคมี มันก็ดีนะ สุขภาพเราก็ดี  ที่นาเราก็ดี   ยิ่งพอมาเป็นชาวนาคุณธรรมก็ยิ่งดี  เพราะเรามีหมู่มีกลุ่มช่วยกันทำ แล้วก็ไม่ต้องถูกโรงสีโกงเหมือนเมื่อก่อน ”

“เรียกว่าเราได้ดีเพราะที่นี่ก็ว่าได้  ก็คิดว่าจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ  จะได้มีดินดีๆไม่ต้องมีเคมีมาลง  และมีที่นาไว้ให้ลูกให้หลาน  ไม่อยากให้หมดเราแล้วรุ่นลูกบอกว่า ทำนาไปทำไม ทำนานี้มีแต่ จนๆๆ   เราก็อยากปูพื้นฐานให้ลูกให้หลานว่า  ทำอย่างนี้ก็มีกำไรนะ ”

เรียกได้ว่าคลื่นวิทยุชุมชนคลื่นหนึ่งและวัดๆหนึ่ง  ได้เปลี่ยนชีวิตคนๆหนึ่งที่เคยทะยานอยาก  ให้มารู้จักกับคำว่า “พอ” 

“ทุกวันนี้เราไม่ค่อยได้ซื้ออะไรเท่าไหร่  ก็มีผักมีหญ้าอยู่  อาทิตย์นึงจะไปตลาดครั้งนึง  ซื้อปลาตัวเล็กๆมากินกับข้าว ปลาตัวใหญ่ไม่เอา   ไม่ยุ่งเรื่องการกิน  ไม่ทำให้มันยากน่ะ อะไรมันง่าย เอาอันนั้น”

“อยากให้ไปดูบ้านของแม่ปิ่น เหมือนรังหนู หลังเล็กๆ  นี่ถ้าเจอวัดสวนธรรมก่อนสร้างบ้านนะ แม่ปิ่นจะทำหลังเล็กกว่านี้อีก ทำให้มันง่ายๆ คือฟังอาโจน ฟังคนโน้นคนนี้พูดเราก็มาปรับใช้กับชีวิตของเรา  ทำชีวิตให้ง่ายๆไม่ต้องมีอะไรมากหรอก”

“ไม่ได้อยากรวย อยากมีอะไรเหมือนใครเขาแล้ว  ไม่รู้จะดิ้นรนไปทำไปเยอะแยะ  เงินน่ะหาแค่พอใช้ก็พอแล้ว”

 

 

~แต่ก่อนเขาก็ว่าเรา บ้า… ~

การทำเกษตรอินทรีย์ให้ประสบความสำเร็จนั้น  แค่วิธีการหรือความเอาใจใส่อย่างเดียวอาจจะยังไม่พอ   แต่ความแข็งแกร่งของจิตใจก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้   เพราะในวันที่เกษตรอินทรีย์ยังไม่เป็นที่ยอมรับและปุ๋ยเคมีถูกกระหน่ำแทบทุกผืนนา  การทำอะไรที่แตกต่างจากคนทั่วไป  ก็ไม่แคล้วต้องถูกสายตาที่มองมาว่า … บ้า

ด้วยความไม่มีวัวมีควายเหมือนคนอื่น  เธอจึงใช้วิธีไปกวาดขี้วัวขี้ควายที่กระจายเกลื่อนตามท้องถนนเพื่อมาใส่ในนา  กวาดใบไม้ตามวัดที่เขาจะเผาทิ้งมาทำปุ๋ยหมัก  ไปขอแกลบจากโรงสี  ไปของเศษฟางจากนาที่เขาจะเผาทิ้ง

คำยกยอสรรเสริญที่เธอได้รับจากชาวบ้านในละแวกนั้นก็คือ   “คนบ้ามาแล้ว เทศบาลมาแล้ว”

หากว่าในเวลานั้น เธอเลือกที่จะไม่บ้า แล้วกลับมาเป็นคนปกติเหมือนชาวบ้านทั่วๆไป  วันนี้เธออาจจะต้องทนรับหนี้สินจากปุ๋ยเคมีต่อไป   แต่โชคดีที่เธอยังยืนยันความบ้า โดยการกล้าทำในสิ่งที่แตกต่างตามวิถีทางที่ตนเชื่อ  จนกระทั่งความบ้านั้นเริ่มปรากฏผล

“จากแรกๆที่ไม่มีวัวมีควายเหมือนเขา   ผักที่เราปลูกก็เริ่มได้กินแล้ว ข้าวก็เริ่มงาม  พอปีที่สองที่สาม ก็บ้ากันทั้งหมู่บ้านเลย”

จากที่เคยมีเทศบาลกวาดขี้วัวอยู่คนเดียว   กลายเป็นว่าชาวบ้านทั้งหลายก็แห่กันมาทำตาม  จนวันนี้เทศบาลต้นตำรับถึงกับบอกว่า  – เก็บไม่ได้สักก้อนเลย  ไม่ว่าจะเป็นขี้วัวหรือใบไม้ตามวัด  จนวันนี้ต้องหันมาใช้น้ำหมักแทน

ว่ากันว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูด   บางครั้งหากว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้องจริง   ไม่ต้องพูดอะไร   คนอื่นก็เห็นเอง  อย่างเช่นในเรื่องนี้  เพื่อนบ้านหลายๆคนก็เริ่มเข้าใจวิถีเกษตรอินทรีย์และพยายามที่จะทำบ้างแล้ว   แม้ว่าจะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ตามที  แต่สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่เห็นชัดเจนและเป็นความภูมิใจของคนทำเกษตรอินทรีย์คนหนึ่งก็คือ

“เวลามีเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน  พอเราบอกว่าเกษตรอินทรีย์นะ เขาจะอยากกินของเราเลย   บอกขอกินหน่อยของดี”

 

 

~สิ่งที่ได้กลับคืนมา ~

แม่ปิ่นเล่าถึงสิ่งที่ได้จากการรู้จักกับวัดสวนธรรมและการฟังวิทยุชุมชนคลื่นนี้ว่า

“ถ้าไม่เจอวัด ไม่เจอหมอเขียว แม่ปิ่นตายไปนานแล้วนะ”

นอกจากจะได้เรื่องของความพอเพียง  และวิธีทำเกษตรที่ช่วยให้หลุดพ้นจากวงจรหนี้สินแล้ว   อีกสิ่งหนึ่งที่แม่ปิ่นเล่าให้ฟังว่าได้จากการฟังวิทยุชุมชนที่นี่ก็คือ  ทางเลือกสุขภาพตามหลักหมอเขียว

“แม่ปิ่นเป็นโรคเลือดจาง ทำงานหนักไม่ค่อยจะได้   ถ้าทำงานหนัก เลือดก็จะน้อยแล้วหมดไปเรื่อยๆมันจะต้องไปเพิ่มเลือด  ก็ได้วิธีรักษาจากหมอเขียวบ้าง จากหมู่กลุ่มที่เราเจอบ้าง ก็ดีขึ้นมากจากที่เคยคิดว่าจะตายไปแล้ว”

จากที่เคยต้องให้เลือดทุกปี  แต่หลังจากที่ได้มาปฏิบัติตามหลักหมอเขียว คือกินอาหารฤทธิ์เย็น  เนื่องจากโรคนี้เกิดขึ้นเพราะร่างกายร้อน  อาการก็ดีขึ้นจนทุกวันนี้ไม่ได้ให้เลือดมาแล้วสองปี

นอกจากจะรักษาตัวเองแล้ว  แม่ปิ่นก็ยังเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน ช่วยหมอในการดูแลคนป่วยในหมู่บ้าน  ดูแลเรื่องสุขภาพ   โดยสิ่งที่เธอทำเป็นประจำก็คือทำน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสูตรหมอเขียวไปให้ผู้ป่วย ทำอาหารดีๆไปให้  โดยไม่ยอมรับเงินค่าตอบแทนใดๆ   แม้ว่าผู้ป่วยก็เคยรวมเงินกันแล้วเอามาให้บอกว่าเป็นค่าน้ำมันและค่าวัตถุดิบ  แต่เธอก็ไม่รับด้วยเหตุผลที่ว่า

“ก็เราสมัครใจทำ เราไม่ได้ไปซื้อหามา  แค่เดินจากหน้าบ้านไปหลังบ้าน ก็ได้ครบแล้ว แค่นี้เองเป็นเรื่องง่ายๆ  ทำได้เราก็ทำ อยากช่วยคนอื่น”

นอกจากจะอาสาสมัครเรื่องสุขภาพแล้ว  งานครัวในวัดสวนธรรมก็เป็นอีกงานที่แม่ปิ่นอนงค์จะมาช่วยเสมอ เวลาที่วัดมีงานอบรมหรือมีคนมาเยอะๆ  ซึ่งแม่ปิ่นบอกว่า ความประทับใจที่มีต่อวัดนี้ก็คือ ที่นี่ ไม่ต้องมีเงินก็ทำบุญได้  คือทำด้วยแรงกายแรงใจ  พระท่านบอกว่า การทำบุญที่ดีที่สุดคือแรงของเรา

“เราเป็นคนจน ถ้าไปวัดอื่นเราต้องมีเงิน  แต่มาวัดนี้ทำบุญสดๆคือแรง  บางทีเหนื่อยๆๆๆมากๆๆ แต่เราอิ่ม อิ่มในใจ  ในการที่ได้เสียสละ  มีความสุขมากเลย  แล้วสิ่งที่รู้สึกตั้งแต่มาทำที่วัดนี้นะ   คือเมื่อไหร่ที่เงินใกล้จะหมด ใกล้จะไม่มีใช้นะ   มันจะมีมาเองเลย   ไม่รู้มันมาจากไหน คือมันไม่เคยเข้าตาจนจริงๆน่ะ  มันจะมีมาเรื่อยๆ  แม่ปิ่นก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าเราทำบุญ   บุญมันก็คงไม่ทิ้งเรา”

และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเรื่องของครอบครัว – ครอบครัวที่กลับมาอบอุ่นเพราะธรรมะ

“เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมาก  แต่ก่อนแฟนสูบบุหรี่ กินเหล้า ทะเลาะกันประจำ”

แม่ปิ่นเล่าว่าในตอนนั้น ทั้งปัญหาบุหรี่ เหล้า ผู้หญิง การพนัน  ทุกอย่างมีครบหมด  เคยทะเลาะ เคยอดทน  จนถึงขั้นเกือบจะเลิกกัน แต่สุดท้ายก็มาคิดว่า     “เราเข้ามาในวัด เรามาช่วยคนอื่น  แล้วทำไมคนที่ใกลิชิดเราที่สุดเราไม่ช่วย”

เมื่อคิดได้ดังนั้น แม่ปิ่นจึงพยายามเก็บกลั้นความโกรธ  แล้วใช้วิธีเอาน้ำเย็นเข้าลูบ พูดจาดีๆเพื่อที่ขอร้องให้เขามาอบรมที่วัดสวนธรรม  ด้วยหวังว่าจะให้เปลี่ยนความคิดได้บ้าง  เรียกได้ว่าแทบจะทั้งกราบทั้งไหว้ กว่าที่สามีจะยอมมา   ซึ่งหลังจากนั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ  จนทุกวันนี้ก็เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ได้หมด และมาเป็นชาวนาคุณธรรมอีกคนหนึ่ง

“ได้ชีวิตใหม่ก็ว่าได้นะ  จากวัดสวนธรรมนี่แหละ”

 

~การได้รู้จักเครือข่ายฅนกินข้าวฯ ~

เมื่อถามแม่ปิ่นว่า รู้สึกอย่างไรที่มีกิจกรรมแบบนี้เกิดขึ้น  แม่ปิ่นตอบว่า

“โอ๊ย….ดีใจมากเลย อยากให้เขามาเห็น   อยากให้คนกินข้าวมาเห็นว่าชาวนาทำยาก ทำลำบากแค่ไหน  เขาจะได้เข้าใจความรู้สึกของเรา    เพราะอย่างเวลาเราไปขาย  เขาจะบอกว่าทำไมแพงจัง  ก็เลยอยากให้คนที่กินเนี่ยมาดูว่าเราทำลำบากแค่ไหน  มันเหนื่อยแค่ไหน   ทีนี้พอเขามาเห็น    โอ้โห… ดีใจมากเลย เขาเข้าใจเราน่ะ”

แม่ปิ่นบอกว่า ความแตกต่างที่สำคัญของชาวนาทั่วๆไปกับชาวนาคุณธรรมก็คือ  ชาวนาทั่วๆไปคือผู้จัดการนาที่สักแต่ว่าทำๆๆให้มันเสร็จๆไป   แต่ในขณะที่ชาวนาคุณธรรมคือชาวนาที่ทำข้าวด้วยความตั้งใจ อยากให้มันออกมาดีที่สุด

“เราตั้งใจทำแบบดีที่สุดให้คนกิน แล้วเมื่อเขาพอใจที่จะกินข้าวของเรา  นี่แหละเป็นสิ่งที่ดีใจมากเลย   ดีใจมากที่เกิดอย่างนี้ขึ้นมา  ที่คนกินข้าวกับชาวนาได้มาเจอกัน  เขาจะได้เข้าใจและยอมรับเราได้   ดีมากเลย  ถ้ามีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงมีคนอื่นที่รู้ที่เห็นแล้วเอาไปขยายต่อ  ก็คงจะมีคนที่เขาเข้าใจเรามากกว่านี้”

สิ่งที่แม่ปิ่นฝากถึงเครือข่ายก็คือ อยากให้คนที่มีเงินมาช่วยสนับสนุนเรา  เพื่อที่กลุ่มข้าวคุณธรรมจะได้ดำเนินต่อไปได้   ไม่อยากให้คิดแค่เรื่องราคา  เพราะว่าเมื่อทำมาปริมาณน้อย  ราคาต่อถุงจึงต้องแพงเป็นธรรมดา  แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ คุณภาพของข้าว ที่กลั่นออกมาจากหยาดเหงื่อและหัวใจ

“ข้าวที่เราทำนี่มันดีที่สุดแล้ว   อยากให้ได้กินของดีๆที่เราทำไปน่ะ   ไม่อยากให้เขาคิดว่ามันแพงมันอะไร  เพราะกว่าจะได้มามันก็ลำบาก…. แต่ถึงจะลำบากแค่ไหนก็พอใจทำให้นะ”

 

ในยุคสมัยที่ชาวนาถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ ยากลำบาก เนื่องจากภาพที่ปรากฏอยู่ทั่วประเทศก็คือภาพแห่งความล่มสลาย การสูญสิ้นที่นาและภาวะหนี้สิน จนแทบจะไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกเป็นชาวนา

แต่ชาวนาอย่างแม่ปิ่น กลับมองต่างกัน   เธอมองว่าหากชาวนาตั้งใจทำนาและเดินมาถูกทาง   ถึงจะลำบาก แต่ชาวนาก็เป็นอาชีพที่ดีมาก

ถึงเราจะจนแต่เราก็มีข้าวกิน   อยู่กรุงเทพ ไม่มีเงินมันก็ไม่มีอะไรเลย  แต่มาเป็นชาวนา เรามีข้าว   ไม่มีเงินเราก็อยู่ได้  เราไม่ตาย  มันต่างกันตรงนี้   …. กรุงเทพน่ะ  ไม่เอาแล้ว เป็นชาวนาดีกว่า ยังไงก็ชาวนา”

 

แม้ว่ามันไม่สวยงาม แต่มันก็คือเส้นทางที่เราเลือก

หากอิสรภาพ คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา

ชีวิตที่พ้นจากพันธนาการของงานประจำ และมาใช้ชีวิตอิสระอย่างฉัน   ก็คงดูผิวเผินเหมือนว่าน่าจะมีความสุขและน่าอิจฉา

 

ตอนแรก หลังลาออกใหม่ๆ  ฉันก็รู้สึกแบบนั้น

แน่ล่ะ…ชีวิตที่เคยอยู่ในกฎระเบียบอันเข้มงวดของการเป็นครูมา 3 ปี   มาวันหนึ่ง ได้โบยบินออกจากกฎต่างๆและพันธะ   จะไม่ให้ชีวิตลั้นลายังไงไหว

ไม่ต้องส่งใบลา  จะไปไหนวันธรรมดาก็ไม่ต้องขออนุญาตใคร   อยากนอนตื่นกี่โมงก็ได้  ไม่ต้องเฝ้าคอยให้ถึงวันศุกร์   ไม่ได้หมดสนุกเมื่อถึงเย็นวันอาทิตย์   ไม่ต้องใช้ชีวิตตามสั่ง  ไม่ต้องไปนั่งทำสิ่งที่ฝืนใจ  ได้ทำอะไรๆตามใจต้องการ

โบยบิน โบยบิน  โบยบิน   โบยบินไปเจอโลกที่กว้างใหญ่

อิสรภาพที่ได้รับมาใหม่ๆนี้มันช่างหอมหวาน

ชีวิตนี้ช่างงดงามและน่าค้นหา   มีเรื่องมากมายให้เรียนรู้ตลอดเวลา

ฉันแอบคิดแบบน่าหมั่นไส้ว่า  ชีวิตกูนี่น่าอิจฉาซะจริงๆ

……

…..

…..

แต่จริงหรือไม่ที่ว่า  ไม่มีเส้นทางไหนในโลกนี้ที่ชีวิตจะมีแต่ความหอมหวาน

ทุกๆเส้นทางล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย

ชีวิตแบบนี้ก็เช่นกัน

……

 

1  ความเหงา

บนความอิสระ  นี่คือสิ่งที่ต้องพ่วงมาด้วยเป็นแพ๊กเกจเดียวกัน

ยิ่งช่วงที่(พยายามจะ)ทำงานเขียนอยู่ที่บ้านด้วยแล้ว วันๆก็ไม่ค่อยได้เจอใคร ไม่เหมือนตอนทำงานประจำที่ก็ยังเจอคนโน้นคนนี้ มีคนให้พูดคุย  แต่พออยู่คนเดียวนานๆอย่างนี้ มันก็เหงาใช่เล่น

เหงาไปเหงามา พาลทำให้ฟุ้งซ่านอีกต่างหาก

ทำงานกับคนเยอะก็ปวดหัว แต่ถ้าทำงานคนเดียวนานๆก็เคว้งคว้างเหมือนกัน

 

2  การควบคุมตัวเองได้ยาก

สภาวะที่อิสระมากเกินไป  มีข้อเสียตรงที่ว่า ไม่มีการตอกบัตร ไม่มีเจ้านาย  งานก็ไม่มีเดดไลน์อะไรเลย

จนส่งผลให้การควบคุมตัวเองให้ทำงานอะไรๆที่คิดจะทำให้เสร็จนั้น เป็นไปได้ยาก

แทนที่จะเปิดเวิร์ดนั่งเขียน  ก็ไปเปิดเฟซบุ๊ค… อะไรประมาณนี้ เป็นต้น

ซึ่งผลของมันก็คือ การสูญเสียเวลาไปอย่างว่างเปล่าเยอะมาก จน…รู้สึกผิด  รู้สึกชีวิตไร้สาระแล้วรู้สึกแย่กับตัวเอง

ทั้งๆที่รู้นะ – แต่ความยากมันอยู่ตรงที่ว่า  หลายๆครั้งที่พยายามเปิดเวิร์ดแล้วนั่งเขียน แต่…มันคิดไม่ออก  เขียนไม่ออก คำพูดไม่ไหล  สื่อความคิดออกมาเป็นตัวอักษรที่โดนใจไม่ได้  คิดไม่ออก คิดไม่ออก  มันก็เลยหนีไปหาเฟซบุ๊คทุกที  แล้วก็รู้สึกผิดทุกที  แต่จะกลับมาเขียนก็เขียนไม่ออกอยู่ดี  วนลูปเลยว่ะ  ชีวิตก็เลยรู้สึกไม่ค่อยมีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน  มันก็เลยรู้สึกเหมือนตัวเองไร้คุณค่าปราศจากน้ำมันตับปลาและโอเมก้าสามยังไงก็ไม่รู้

 

 

3  มึงจะไปทางไหนกันแน่

อย่างที่เขียนไปในตอน “ชีวิตหลังลาออก”  ว่าเราก็มีเรื่องที่อยากเรียนรู้มากมายหลายอย่าง  ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้เราหลงๆงงๆเคว้งๆเหมือนกันว่า  จะทำอะไรก่อนอะไรหลังดีวะ… จะเขียนหนังสือ หรือจะฝึกถ่ายรูป หรือจะหัดตัดต่อ หรือจะหัดทำสารคดีสั้นแบบถ่ายวีดีโอ หรือจะไปทำวิจัยกับกลุ่มชาวนา

แล้วปัญหาก็ติดอยู่ตรงที่ว่า แต่ละอย่างที่อยากทำ มันก็ไม่ใช่จะทำง่ายๆ การจะทำอะไรให้ดีได้ มันก็ต้องการเวลา ต้องการความทุ่มเทอย่างจริงๆจังๆ    การจับปลาหลายมือบางทีมันก็อาจทำให้ไม่ได้ปลาสักตัว

แล้วการที่ไม่มีปลาสักตัวแบบนี้ มันทำให้รู้สึกชีวิตไม่มีคุณค่ายังไงก็ไม่รู้

อย่างตอนทำงาน เรายังมีคุณค่าต่องานที่ทำ  แต่นี่…โคตรเคว้งเลย

 

ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่า – เราควรจะเลือกอะไรสักอย่างแล้วทุ่มกับมันอย่างเต็มตัวจริงๆ

หยุดชีวิตจับฉ่ายแบบไม่ได้ปลาสักตัวอย่างนี้ได้แล้ว

และตอนนี้ แผนปฏิรูปชีวิตตัวเองใหม่ก็ถูกร่างคร่าวๆไว้ในใจละ  ไว้มีโอกาสจะบอก

 

 

4  ความรู้สึกกาก

ว่ากันว่า พระเจ้าประทานความถนัดให้มนุษย์แต่ละคนมาคนละด้านกัน ที่เรียกขานกันในนามพรสวรรค์

วิชาเลข อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอย่างเดียวในชีวิตที่เรากล้าพูดว่า เราถนัด

แต่บังเอิ๊ญ บังเอิญ บังเอิญ โชคชะตาเล่นตลกยังไงก็มิทราบ

ไอ้กบตัวหนึ่งที่เคยอยู่ในกะลาแห่งโลกตรรกะ-วิศวฯ-การคิดคำนวณ ดันไปเจอประตูโดราเอมอน ที่พาเจ้ากบไปเจอโลกใบใหม่นอกกะลา – โลกของศิลปะ  ความคิดสร้างสรรค์    หนังสือ   สารคดี  ชีวิตผู้คน  เรื่องราวในชนบท  ฯลฯ  จนทำให้เจ้ากบตัวนั้นหลงใหลในโลกใบใหม่ และรู้สึกว่า ไม่อยากอยู่กับตัวเลขแล้ว  อยากจะออกไปเจอสิ่งเหล่านี้  อยากไปเห็น อยากไปเรียนรู้  อยากไปสัมผัส  จนกระทั่งว่า อยากทำงานในสายนี้

 

เมื่อความสนใจในชีวิตเปลี่ยนไป และชีวิตเริ่มก้าวสู่โลกใบใหม่

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ มันไม่ได้ง่าย…

เพราะเอาเข้าจริงๆก็คือ มันไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด  ไม่ใช่สิ่งที่เป็นพรสวรรค์ดั้งเดิมของเรา

เมื่อความสามารถเราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสิ่งนี้ แต่บังเอิญเราเลือกที่จะทำ  สิ่งที่ต้องพบก็คือความยากกกกกกกกกกส์

คนมีพรสวรรค์ ไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย ก็ทำได้ดี

แต่คนไม่มีพรสวรรค์ อาจต้องออกแรงกายแรงใจมากกว่าหลายเท่า  กว่าจะได้ผลงานที่มีคุณภาพเท่ากัน

ซึ่ง – มันต้องใช้แรงพลังใจค่อนข้างมาก

อย่างเช่นการเขียน  หลายครั้งที่ได้แต่นั่งนิ่งอยู่หน้าโปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ดที่ว่างเปล่า โดยไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง

หลายครั้งที่ย่อหน้าเดียว ถูกแก้ไปแก้มาหลายชั่วโมงก็ยังไม่ได้ดั่งใจ

หลายครั้งที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวให้ออกมาเป็นตัวอักษรได้

และหลายครั้ง  ที่รู้สึกว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างเปล่าดาย  โดยไม่มีผลงานอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน

มันเป็นความรู้สึกที่โหดร้าย

โหดร้ายตรงที่ว่าเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เรารักจะทำ  แต่เราทำมันไม่ได้

จนรู้สึกว่าตัวเองแม่งห่วยกากซากอ้อยด้อยความสามารถ  จนหลายๆครั้งก็รู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ

ซึ่งนั่น ก็คืออีกความรู้สึกหนึ่งที่เราก็ต้องต่อสู้กับมัน

 

 

———————————-

 

 

ถ้าเปรียบตัวเราในวันที่ลาออก  เป็นนกที่ตัดสินใจบินออกจากกรง เพราะรู้สึกว่าโลกภายนอกมันช่างกว้างใหญ่ สวยงาม และมีอะไรที่น่าค้นหา

ความรู้สึกต่างๆที่เราต้องเผชิญในวันนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรจากพายุ  ที่ชีวิตของนกนอกกรงจำเป็นต้องเจอกับมัน

 

แม้ว่ามันจะเตรียมใจไว้แต่แรกว่าข้างนอกนั้นมีพายุ

แต่หลายๆครั้งมันก็หนักเกินกว่าที่มันเคยคาดคิด จนหลายๆคราวที่ทำให้สองปีกฝันของมันอ่อนล้า

แต่วันหนึ่ง…เมื่อมันได้ย้อนนึกถึงความรู้สึกตอนที่อยู่ในกรงขังและใฝ่ฝันที่จะบินออกมา

มันก็พบว่า มันตัดสินใจไม่ผิด

 

เพราะไม่ว่าวันนี้จะหนักหนาอย่างไร  มันก็ยังดีกว่าการที่ต้องค้างคาใจกับความรู้สึกอยากทำแล้วไม่ได้ลงมือทำ

ซึ่งถ้าไม่ลงมือทำ  เราก็ไม่มีวันรู้ว่าเราจะทำได้หรือทำไม่ได้ – ใครหลายๆคนบอกไว้เช่นนั้น

และการจะรู้ว่าทำได้หรือทำไม่ได้  จะไม่มีทางบอกได้ ถ้าหากยังไม่ได้สู้ไปจนสุดทาง

 

ฉันนึกถึงคำพูดของคุณชาติ กอบจิตติ ประโยคหนึ่งที่ว่า

“ถ้าเราตั้งเป้าหมายจะไปไหน  เราต้องเดินไปให้ถึง  จะล้มตายกลางทาง หรือไม่ถึงจุดหมายก็ไม่เป็นไร  เพราะชีวิตนี้  เราได้เดินแล้ว”

ใช่, อย่างน้อยเราก็ได้เดินแล้ว

สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือสิ่งที่เราเลือกเอง  เราเลือกที่จะเดินออกมาเอง และในวันนั้นเราก็มั่นใจว่าเราตัดสินใจดีแล้ว

เลือกแล้ว … ก็ต้องลองดู  ก็ต้องก้าวเดินต่อไปอย่างเต็มกำลัง

แม้ไม่ได้สวยงามดังฝัน  ก็ไม่เป็นไร  ….

 

ถ้าสุดท้ายแล้วมันจะล้มลุกคลุกคลานกลิ้งตีลังกาตกเหวยังไง… ก็จะได้รู้ไปชัดๆว่าเราทำไม่ได้

ดีกว่านั่งฝันใฝ่โดยไม่เคยได้ลองทำ

 

โจทย์อนุกรม ตอน ความรักของนายส้มป่อย

1. นายส้มป่อย แอบปิ๊งสาวคนหนึ่ง  จึงไปขอเบอร์โทรเธอ  เธอเขียนใส่กระดาษเป็นรหัสมาว่า

(08)1abcd  โดย 1 + a + b + c + d  = 75  อนุกรมเลขคณิต ”   ตกลงเบอร์โทรของเธอคือเบอร์อะไร

 

2. หลังจากนั้น เขาและเธอก็โทรคุยกันทุกวัน วันแรกคุยกัน 15 นาที  และคุยนานขึ้นวันละ 5 นาที   จนถึงวันที่ตกลงเป็นแฟนกัน  คุยกันไป  185 นาที   จงหาว่านายส้มป่อยใช้เวลาจีบอยู่กี่วัน  และ ใช้เวลาโทรคุยกันรวมทั้งหมดกี่นาที

 

3. เมื่อนายส้มป่อยคุยกับสาวจนสนิทใจ  จึงชวนกันไปปลูกต้นรัก   ถ้าเขาต้องการปลูกต้นรักให้ได้ทั้งหมด  800 ต้น ภายในเวลา 16 วัน   โดยตั้งใจจะให้จำนวนต้นที่ปลูกได้ต่อวันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นลำดับเลขคณิต  ถ้าวันแรกเขาปลูกไปได้ 5 ต้น

จงหาว่าวันที่สองเขาต้องปลูกกี่ต้น

 

4.  เนื่องด้วยความรักทำให้คนตาบอด  นายส้มป่อยจึงเดินชนเสาหน้าบ้านทุกวัน  โดยจำนวนครั้งที่ชนมากขึ้นทุกวันเป็นลำดับเลขคณิต  วันที่สองชนมากกว่าวันที่หนึ่งอยู่ 6 ครั้ง  และวันต่อๆมาชนมากกว่าวันก่อนหน้าอยู่ 6 ครั้งเช่นนี้ทุกวัน  พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป 15 วัน  เขาเดินชนเสาไปทั้งหมดรวม 1500 ครั้ง   จงหาว่าวันที่สามชนเสาไปกี่ครั้ง

 

5.   ผลจากการเดินชนเสา  ทำให้นายส้มป่อยเกิดอาการความจำเสื่อม  ทำให้ทำโจทย์ข้อนี้ไม่ได้  ขอให้น.ร.ช่วยส้มป่อยที

“ถ้าผลบวก 12 พจน์แรกของอนุกรมเลขคณิต มีค่าเท่ากับ 600  และ พจน์แรกของอนุกรมนี้คือ 6  แล้ว

พจน์ที่ 8 มีค่ามากกว่าพจน์ที่ 6 อยู่เท่าใด”

 

6. นายส้มป่อยจึงไปหาหมอ   หมอบอกว่าเป็นกรรมเก่า ต้องแก้เคล็ดโดยการไปเต้นระบำชาวเกาะที่เกาะกลางถนน  โดยจำนวนรอบที่เต้นในแต่ละวันต้องเพิ่มขึ้นเป็นลำดับเลขคณิต    และต้องเต้นรวมแล้วให้ได้  220  รอบ   ภายใน  11  วัน

ถ้าวันที่  11  เขาต้องการเต้น  30  รอบ   จงหาว่าวันที่ 1  เขาต้องเต้นกี่รอบ

 

7.  หลังจากนั้น ส้มป่อยก็หายเป็นปกติ    แต่ก็อับอายในสิ่งที่ทำลงไป   จนไม่กล้าออกจากบ้าน  จึงนั่งทำโจทย์เลขที่ค้างไว้ดังนี้

“อนุกรมหนึ่ง   Sn =  n2  +  2n   จงหาค่า       ของอนุกรมนี้”

โจทย์อนุกรมบ้าๆบอๆ

1.   พรหมลิขิตบันดาลชักพา  ดลให้นายอุมบะกับน.ส.ฮอยอันเดินทางมาพบกันทันใด

ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล  (ถึง 255 กิโลเมตร)

พรหมลิขิตดลจิตใจ  ให้ทั้งสองเริ่มเดินทางในวันเดียวกัน

นายอุมบะเดินทางวันแรกได้ 1 กม.  วันที่สองได้ 3 กม. วันที่สามได้ 5 กม. เช่นนี้เรื่อยไป

และน.ส.ฮอยอันเดินทางวันแรกได้ 20 กม. และลดลงเรื่อยๆเป็นลำดับเลขคณิต

ถ้ากามเทพอยากให้เขาและเธอใช้เวลาสิบวันจึงจะพบกัน

กามเทพจะกำหนดให้ฮอยอันเดินทางด้วยระยะทางลดลงวันละกี่กิโลเมตร

 

 

2.  จอมยุทธม่งจูต้องการเดินทางไปยังยอดเขาเหลียงซานเพื่อไปเอายาถอนพิษมาให้แม่นางจูหลง

ถ้าบ้านของเขาห่างจากยอดเขาเหลียงซาน  2700 กิโลเมตร

เขาเดินทางวันแรกได้ระยะ 3  กิโลเมตร  วันที่สองได้ 9 กิโลเมตร  วันที่สามได้ 15  กิโลเมตร

และเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเช่นนี้เรื่อยไปจนถึงปลายทาง

จงหาว่าจอมยุทธม่งจูต้องใช้เวลาเดินทางกี่วัน จนกว่าจะถึงยอดเขาเหลียงซาน

 

 

 3.  เชื้อไวรัสสายพันธุ์กุ๊กกูคอกคัส    กับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ กิ๊กโกคอกคัส   อยู่ห่างกัน  165 นาโนเมตร

ทั้งสองตั้งใจเดินทางมาพบกันเพื่อสร้างสายพันธุ์ใหม่    โดยเริ่มเดินทางวันเดียวกัน

ถ้าเชื้อกุ๊กกูคอกคัส  เดินทางวันแรกได้  1  นาโนเมตร  ,   วันที่2 ได้ 2 นาโนเมตร   ,    วันที่3 ได้ 3 นาโนเมตร   เช่นนี้เรื่อยไป

และเชื้อกิ๊กโกคอกคัส เดินทางวันแรกได้  20 นาโนเมตร   , วันที่ 2 ได้18  นาโนเมตร   , วันที่3 ได้ 16 นาโนเมตร   เช่นนี้เรื่อยไป

จงหาว่าเชื้อทั้งสองจะเดินทางมาพบกันในวันที่เท่าใด

 

 

 

โจทย์ลำดับ ตอน หมึกพอนส์และแม่นางบอนไซ

 

สำหรับ copy ไปใช้จ้า….

 

1.   มาจะกล่าวบทไป  ถึงแม่นางบอนไซผู้เลอโฉม   เธอเพ้อถึงยอดชายในกรุงโรม  โดยท่องบ่นเป็นบทกลอนทุกค่ำคืน

คืนที่ 4 มีนาคมเพ้อ 3 บท  คืนต่อมาเพ้อ 8 บท   ต่อมา 13 บท  และเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเช่นนี้เรื่อยไป  จงหาว่า คืนที่ 14 มีนาคม  เธอเพ้อไปกี่บท

 

2.  สาเหตุที่เธอเพ้อนี้   หมอบอกว่าเป็นเพราะเธอติดเชื้อชิคุนกุนบ้า  วันแรกมีเชื้อในร่างกาย 0.2 หน่วย  และเชื้อนี้จะเพิ่มขึ้นวันละ  0.5 หน่วยทุกวันๆๆ  หมอบอกว่าหากเชื้อนี้เพิ่มขึ้นถึง  20 หน่วยเมื่อไหร่  เธอจะบินได้    ถามว่าเธอจะบินได้ในวันที่เท่าไหร่นับจากวันที่ติดเชื้อ

 

3.    เธอกลุ้มใจมาก …ไม่ได้กลุ้มใจที่บินได้หรอก  แต่กลุ้มใจว่าจะบอกรักยอดชายดีหรือไม่  จึงตัดสินใจบินไปหาปลาหมึกพอนส์เพื่อขอคำชี้แนะ   วันแรกบินได้  3 นาที   วันต่อๆมาใช้เวลาบินเพิ่มขึ้นสองเท่าของวันก่อนหน้า

ถามว่า      3.1  วันใดที่  บินได้   384  นาที                                  3.2*   วันใดที่ทำลายสถิติ บินได้เกิน  10 ชั่วโมง

 

4.  เมื่อเจอหมึกพอนส์   เธอจึงเริ่มต้นเล่าปัญหาอย่างหน้าดำคร่ำเครียด   ปลาหมึกพอนส์เห็นดังนั้น จึงหยิบไวท์เทนนิ่งมาให้ โดยบอกว่า  จะช่วยลดความหน้าดำคร่ำเครียดของท่าน จากระดับ 50 เหลือเพียงระดับ  8  ได้ภายใน 7 วัน   โดยในแต่ละวันจะลดลงเป็นลำดับเลขคณิต   จงหาว่าถ้าใช้ไปเพียง 3 วัน  ในวันที่ 3  ความดำจะอยู่ที่ระดับใด

 

5.   เธอดีใจมาก  จึงเริ่มต้นพิธีบูชาปลาหมึก   ด้วยการเป่าวูวูเซล่ามาราธอน  โดยเริ่มต้นเป่าในเวลา 7.00 น.  ที่ระดับความดัง  1 เดซิเบล   และเพิ่มระดับความดังขึ่นเป็นลำดับเรขาคณิตในทุกๆชั่วโมง   ถ้าเวลา 12.00 น. ความดังอยู่ที่ระดับ  81  เดซิเบล   จงหาว่าในเวลา 9.00 น. ความดังอยู่ที่ระดับใด

 

6.    ด้วยมนต์ขลังแห่งวูวูเซล่า ทำให้เธอตกหลุมรักหมึกพอนส์  ทั้ง2 จึงไปดูบาสด้วยกัน

ทีมA  นาทีแรกทำได้ 1 แต้ม และ นาทีต่อไป ทำแต้มเพิ่มขึ้นนาทีละ  5  แต้ม

ทีม B นาทีแรกทำได้ 20 แต้ม และนาทีต่อๆไป ทำแต้มเพิ่มขึ้น นาทีละ 3 แต้ม

ทางผู้จัด ให้คนดูส่ง sms ทายผลว่า

6.1  ในนาทีที่ 5  ทีมใดมีแต้มนำ และนำอยู่กี่แต้ม

6.2   ทีม A จะขึ้นนำในนาทีที่เท่าใด

การเรียงสับเปลี่ยน ตอน หนูน้อยหมวกแดงกับเจ้าชายกบ

เพื่อสะดวกในการน copy ไปใช้นะ….

2.  กบน้อย 4  ตัว  ถูกแม่มดสั่งมาว่าให้มีใบบัวสิงสถิตย์   ถ้าในบึงมีใบบัว  6  ใบ    กบน้อยจะเลือกใบบัวได้กี่วิธี  ถ้า

2.1     กบแต่ละตัว  อยู่ใบบัวเดียวกันได้

2.2    กบแต่ละตัว  ต้องมีใบบัวเป็นของตัวเอง

3.  จากกบทั้งหมด 4 ตัว   ถ้าหนูน้อยหมวกแดงจะเลือกจูบกบ 2  ตัว  จะเลือกได้กี่วิธี  ถ้า

3.1   จูบตัวใดก่อนหลัง  ให้ผลเหมือนกัน

3.2   ตัวที่ถูกจูบตัวแรก  จะกลายเป็นเจ้าชาย    ตัวที่ถูกจูบตัวหลัง  จะกลายเป็นแอปเปิ้ลอาบยาพิษ

4.  แต่ด้วยความที่หนูน้อยหมวกแดงไม่ได้แปรงฟันมา 3  วัน   กบทั้ง 2 จึงเป็นลมก่อนได้แปลงร่าง   ถ้ามียาดมอยู่  7 กลิ่น   จะให้กบทั้งสองตัวดม  ได้กี่วิธี  ถ้า

4.1   ทั้งสองตัว ให้ยาดมกลิ่นเดียวกันได้

4.2    ทั้งสองตัว ได้รับยาดมกลิ่นต่างกัน

5.   เมื่อกบน้อยทั้งสองฟื้น  หนูน้อยหมวกแดงจึงใช้กบทั้ง 2  ในการเหลาดินสอ    ถ้ามีดินสอ 6  แท่งที่ต่างกันที่ต้องถูกเหลา    ถามว่าจะเลือกใช้กบเหลาได้ต่างๆกันกี่วิธี   ถ้า

5.1    เลือกใช้ยังไงก็ได้

5.2    ให้กบทั้งสองตัว  เหลาตัวละ 3  แท่ง เพื่อความเท่าเทียม

6.    แต่กบน้อยชนิดนี้ไม่สามารถเหลาดินสอได้  หนูน้อยหมวกแดงจึงโมโห  เลยหาทางออกด้วยการนำกบ 2 ตัว และดินสอ 6  แท่งมาเรียงสับเปลี่ยนแนวเส้นตรง    จะได้กี่วิธี  ถ้า

6.1   ให้กบทั้งสอง อยู่ริมสองข้างเสมอ

6.2   ให้กบทั้งสอง  อยู่ติดกันเสมอ

6.3    กบทั้งสอง  ห้ามอยู่ติดกัน

7.   หนูน้อยยังไม่หายโมโห   จึงจับทั้งหมดมาเรียงใหม่เป็นแนววงกลม  โดยที่

7.1    เรียงยังไงก็ได้

7.2   กบทั้งสองอยู่ติดกันเสมอ

7.3   กบทั้งสองอยู่ตรงข้ามกันเสมอ

7.4   กบทั้งสอง  ห้ามอยู่ติดกัน

8.  นางฟ้าได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด  จึงรู้สึกสงสารกบเป็นยิ่งนัก  จึงเสกให้กบทั้ง 2  กลายเป็นหมีแพนด้า   และลงโทษหนูน้อยด้วยการเสกตัวอักษร  7  ตัว  คือ  A A  A   D  E   E   L       ให้นำไปตั้งชื่อแพนด้า   โดยต้องใช้อักษรให้ครบทั้ง 7 ตัว  (โดยไม่คำนึงถึงความหมาย  และไม่คำนึงว่าจะอ่านออกหรือไม่ )

8.1    ชื่อแพนด้าตัวแรก ต้องขึ้นต้นด้วยอักษร A     จะตั้งชื่อแพนด้าตัวนี้ได้กี่วิธี

8.2    ชื่อแพนด้าตัวที่สอง  ต้องลงท้ายด้วยอักษร  L  และห้ามขึ้นต้นด้วยอักษร A    จะตั้งชื่อได้กี่วิธี

9.  หนูน้อยสำนึกผิด  จึงคิดจะไถ่โทษโดยการเต้นระบำให้แพนด้าดู   จึงไปแต่งตัว  ถ้ามีเสื้อ 5  ตัวที่ต่างกัน  เป็นสีฟ้า 3 ตัว   สีขาว  2  ตัว  และมีกระโปรง 4  ตัว  เป็นสีแดง 3 ตัว  สีส้ม 1 ตัว   โดยถ้าหากใส่เสื้อขาวแล้ว ต้องใส่กระโปรงสีแดงเท่านั้น  จะแต่งได้กี่วิธี

10.   เป็ด  5  ตัว และ ไก่  3  ตัว อาสามาเป็นแดนเซอร์ให้    ถ้าแดนเซอร์ทั้ง 8  จะยืนเต้นเป็นแนวเส้นตรง โดยที่ริมสองข้างต้องเป็น เป็ดเสมอ   จะจัดตำแหน่งได้กี่วิธี

11.   ระหว่างเต้น  เป็ดและไก่สะบัดขนร่วงรวมทั้งหมด  10  เส้น  ซึ่งมีสีต่างๆกัน  ถ้าใครคนหนึ่งจะเลือกมา 6 เส้น  เพื่อนำมาต่อกันเป็นลูกแบด  1   ลูก   จะเลือกได้กี่วิธี

12.   หนูน้อยและเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ รวม 10 ชีวิต  จึงมาแข่งแบดมินตันประเภทเดี่ยว   โดยจัดการแข่งขันแบบพบกันหมด    ถ้าจัดแข่งวันละ 5  คู่   ถามว่า ต้องแข่งกี่วันจึงเสร็จ

*13.  ถ้าเป็นการแข่งประเภทคู่   แบบพบกันหมดและคนๆหนึ่งต้องได้คู่กับทุกคน   จะต้องจัดแข่งทั้งหมดกี่เกม

14.   เหนื่อยจากการตีแบด ทำให้หนูน้อยนอนหลับ  และฝันว่ากำลังทำข้อสอบ  โดยครูสั่งให้ทำ 8 ข้อเท่านั้น จากข้อสอบทั้งหมด 10 ข้อ    เธอจะเลือกทำได้กี่วิธี  ถ้า

14.1   บังคับให้ทำ 3 ข้อแรก

14.2    ต้องทำอย่างน้อย 4 ข้อ  จากข้อสอบ 5  ข้อแรก

15.  หนูน้อยตกใจตื่นขึ้นมา  และพบว่าตนเองถูกจับมัดอยู่เหนือหม้อต้มของมนุษย์กินคนเผ่าหนึ่ง    หัวหน้าเผ่าสั่งให้หนูน้อยโยนลูกเต๋า 4 ลูกที่แตกต่างกัน  โดยบอกว่าถ้าหากได้แต้มเกิน 4  อย่างน้อย 1 ลูกจะไม่ถูกต้ม  จงหาว่าหนูน้อยมีวิธีโยนลูกเต๋าให้รอดกี่วิธี

16.  จากข้อ 15  ถ้าเปลี่ยนเงื่อนไขเป็นได้แต้มเกิน 4  อย่างน้อย 3 ลูก  จะไม่ถูกต้ม    จะมีวิธีรอดกี่วิธี

17.  ทันใดนั้น หัวหน้าเผ่าเดินสะดุดและหัวทิ่มไปในหม้อต้ม   ทางเผ่าจึงต้องเลือกหัวหน้าใหม่   ถ้าทั้งเผ่ามีชาย 6 คน  หญิง  4 คน   จะเลือกมาเป็นหัวหน้าเผ่า  1  คน   หมอผี 1 คน  และ ฝ่ายค้านอีก 2 คน  จะเลือกได้กี่วิธี  ถ้า

17.1    ไม่มีเงื่อนไข

17.2     ฝ่ายค้านทั้งสอง ต้องเป็นเพศเดียวกัน

17.3    หมอผีต้องเป็นชาย    ฝ่ายค้านทั้งสองต้องเป็นหญิง

 

เฉลย

2.1)  64      2.2)  360      3.1)  6         3.2)  12       4.1)  49       4.2)  42     5.1)  64     5.2) 20

6.1)  2!6!     6.2)   7!2!     6.3)  6!x7x6    7.1)  7!       7.2) 6!2!     7.3) 6!         7.4)  3600    8.1)  180     8.2)  30    9) 18    10)  5x4x6!

11)  25200   12)  9 วัน     13)  630         14.1)  21    14.2)  35     15) 64 – 44      16) 144     17.1)  2520     17.2) 1176        17.3)  252

การเรียงสับเปลี่ยน ตอน หนูน้อยหมวกแดงเดอะซีรี่ย์

 

1. หนูน้อยหมวกแดงกำลังแต่งตัวเพื่อไปเยี่ยมคุณยาย   เธอมีเสื้ออยู่ 3สี   คือ สีขาว , สีส้ม และสีตุ่นๆ   มีกระโปรงอยู่ 4 สีคือ  สีขาว , สีส้ม , สีตุ่นๆ และสีเทา    จงหาว่าเธอแต่งตัวแบบต่างๆกัน ได้กี่วิธี

 

 

 

 

 

2.  ก่อนออกเดินทางไปหาคุณยาย   เธอเขียนจดหมายทั้งหมด 3 ฉบับ  โดยเขียนถึงคุณยาย  1  ฉบับ  เขียนถึงนายพราน 1 ฉบับ  และถึงหมาป่าอีก 1 ฉบับ   ถ้าหน้าบ้านมีตู้ไปรษณีย์  2 ตู้    จงหาว่าเธอจะส่งจดหมายทั้ง 3 ลงตู้  2 ตู้   ได้กี่วิธีที่แตกต่างกัน

 

3.   จากนั้น  หนูน้อยหมวกแดง เริ่มวางแผนเดินทาง   โดยจากบ้าน  เธอตั้งใจจะแวะที่ซิมบับเวก่อน  แล้วค่อยไปบ้านคุณยาย     ถ้าถนนจากบ้านไปซิมบับเว  มี 3  เส้นคือ A , B , C    และถนนจากซิมบับเวไปบ้านคุณยาย มี 4 ทางคือ D , E , F ,G   จงหาว่าเธอจะเดินทาง ไป-กลับ แบบต่างๆกันได้กี่วิธี  โดยมีเงื่อนไขว่า  ห้ามกลับถนนเส้นเดิม

4.  ก่อนออกจากบ้าน    เธอเห็นจิ้งจก  3  ตัวเกาะหน้าประตู   และเธอมีขนมอยู่  5  ชิ้นที่แตกต่างกัน  เธอต้องการให้ขนมจิ้งจก

4.1    ถ้าเธอต้องการให้ขนมทั้ง 5 ชิ้น  โดยไม่เจาะจงจิ้งจก   จะมีวิธีแจกได้กี่แบบที่แตกต่างกัน   (ไม่จำเป็นต้องแจกจิ้งจกทุกตัว)

4.2    ถ้าเธอต้องการแจกให้จิ้งจกทั้ง 3 ตัว  ตัวละ 1 ชิ้น   จะมีวิธีแจกได้กี่แบบที่แตกต่างกัน

 

 

 

 

 

5.    แต่การเดินทางคนเดียว มันเหงาเกินไป  เธอจึงชวนสาวโฟร์กับมดมาร่วมเดินทางด้วย    โดยการเดินทาง  ต้องมีผู้ขี่วัวบังคับเกวียน 1 คน  และนั่งในเกวียนอีก 2 คน   ถ้าคนที่บังคับเกวียนเป็นมีเพียงโฟร์กับมดเท่านั้น  จงหาว่าจะจัดที่นั่งได้ต่างกันกี่วิธี

 

 

 

 

6.   สามวันผ่านไป  เธอเดินทางไปถึงเมืองทองธานี   ในวันชิงแชมป์อะคาเดมี่  โปรโตซัว   ถ้าวันนั้น เหลือทั้งหมด 5 คน คือ V1 – V5  และจะร้องคนละ 1 เพลง      เหล่าทีมงานมาถามหนูน้อยหมวกแดงว่า  จะจัดลำดับการขึ้นเวทีได้กี่วิธีที่แตกต่างกัน  โดยที่ เพลงแรก ต้องเปิดตัวด้วย V1 หรือไม่ก็ V2    และต้องปิดท้ายด้วย  V4   เท่านั้น

 

 

 

 

การแยกกรณีคิด

7.   ต่อมา  เธอเดินทางไปถึงจีน   และมีข่าวแพร่สะพัดมาว่ามีจอมยุทธสุดหล่ออยู่บนยอดเขาฮุนเจ  หนูน้อยหมวกแดงอยากไปขอลายเซ็น  จึงคิดจะเดินทางไป  โดยการไป-กลับ ยอดเขานั้น   มี 3 วิธีคือ  ขี่ม้า , ขี่แพะ(ไล่ ) และขี่ช้าง(จับตั๊กแตน)  ถ้ามีม้า 3 ตัว   แพะ 4 ตัว  และช้าง 2 ตัว   จงหาว่าเธอจะมีวิธีเดินทางไปกลับต่างๆกันได้กี่วิธี

7.1           ไป-กลับ ด้วยสัตว์ชนิดเดียวกัน

7.2          ไป-กลับ ด้วยสัตว์ชนิดเดียวกัน  แต่ไม่ใช่ตัวเดียวกัน

7.3           ไป- กลับ ด้วยสัตว์ต่างชนิดกัน

 

8.    เมื่อไปถึงยอดเขาฮุนเจ  จอมยุทธสุดหล่อซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ  ต้องรู้รหัสลับ เป็นเลข 3 หลัก จึงสามารถไขกุญแจเข้าถ้ำได้  

โดยจอมยุทธทิ้งปริศนาไว้ว่า  “ เลข  3 หลัก ไม่ซ้ำกัน  หารด้วย 5 ลงตัว  น้อยกว่า 400”

ถามว่า รหัสลับนี้  เป็นไปได้ทั้งสิ้นกี่แบบ  ตามเงื่อนไขข้างต้น

 

 

 

 

 

 

การคิดทางอ้อม

 

จำนวนวิธี   =   จำนวนวิธีทั้งหมด  –   จำนวนวิธีที่ไม่ต้องการ

 

9.   ในที่สุดหนูน้อยก็ลองจนครบทุกวิธี และเข้าไปในถ้ำได้   แต่ชีวิตไม่ง่าย  เธอต้องตอบปัญหา  6 ข้อให้ครบ  โดยแต่ละข้อมี 3 ตัวเลือก   ก.  ข.  ค.   ถ้าเธอตอบถูกอย่างน้อย 1 ข้อ   จะได้เข้าพบจอมยุทธ    จงหาว่าการตอบถูกอย่างน้อย 1 ข้อ  นั้นมีวิธีตอบต่างๆกันกี่วิธี

การเรียงสับเปลี่ยน แนวเส้นตรง

10.     โอ้แม่เจ้า!!  เธอทำได้   และแล้ว  จอมยุทธก็โผล่มา   …โอ้แม่เจ้า(อีกครั้ง)   มีจอมยุทธตั้ง 5 คน   หนูน้อยหมวกแดงจึงขอให้จอมยุทธทั้ง 5 ยืนเรียงกันหน้ากระดานเพื่อถ่ายรูป   ถามว่าจะสลับจอมยุทธทั้ง 5 ในตำแหน่งต่างๆกันได้กี่วิธี

การเรียงสับเปลี่ยน ของซ้ำ

11.  ต่อมา  หนูน้อยก็ขออีเมลจอมยุทธ  แต่จอมยุทธไม่ให้มาตรงๆ  แต่ให้ตัวอักษรมา 5 ตัว ดังนี้   A  , A ,  M , D ,  E   @hotmail.com

ถ้าสลับตัวอักษรทั้ง 5  โดยไม่คำนึงถึงความหมาย  จะได้ชื่ออีเมลทั้งหมดกี่แบบ

 

12.  ส่วนเบอร์โทร  จอมยุทธก็ให้เพียงตัวเลข  ไม่ยอมบอกลำดับเช่นกัน โดยใบ้ให้ว่า เบอร์จะขึ้นต้นด้วย 081  หรือไม่ก็ 089  เท่านั้น

12.1   คนที่ 1   ให้ตัวเลขดังนี้     0  ,  8 , 1 ,  9 , 7 , 6 , 0 , 8 , 5 , 2     จงหาว่ามีเบอร์ที่เป็นไปได้กี่แบบ

12.2    คนที่2  ให้ตัวเลขดังนี้   0 , 8 , 1  ,  9 , 3 ,  7 , 7 , 7 , 2 , 2   จงหาว่ามีเบอร์ที่เป็นไปได้กี่แบบ

12.3  คนที่3  ให้ตัวเลขดังนี้   0 , 8 , 1  ,  3 , 9 ,  7 , 7 , 7 , 1 , 2   จงหาว่ามีเบอร์ที่เป็นไปได้กี่แบบ

 มีของ  n ชิ้น  “ เลือก ”  มาr  ชิ้น

13.    ต่อมา เธอจึงขอลายเซ็นจอมยุทธทั้ง 5   แต่จอมยุทธให้เลือกขอได้เพียง 3 คนเท่านั้น   หนูน้อยจะเลือกได้กี่วิธีที่แตกต่างกัน

14.     ถ้าหนูน้อย จะเลือกมา 3 คนเพื่อยืนเข้าแถวถ่ายรูป   จะทำได้กี่วิธี

15.   ก่อนกลับ หนูน้อยจึงคิดจะให้กล้วยทอดแก่จอมยุทธทั้ง 5   ถ้าเธอมีกล้วยทอด 7 ถุง  7 รส  และจะให้คนละ 1 ถุง

เธอจะให้กล้วยทอดแก่จอมยุทธได้กี่วิธี

 

 

 

 

 

16.  เหล่าจอมยุทธจึงให้หนูน้อยเลือกของที่ระลึกบ้าง  เป็นดอกไม้วิเศษ 6 ดอก  6 สี  คือ สีแดง ,ขาว ,ส้ม ,ชมพู , ม่วง , เหลือง  โดยจอมยุทธให้หนูน้อยเลือกแค่  4  ดอกเท่านั้น    หนูน้อยจะมีวิธีเลือกได้กี่วิธี  โดยที่ต้องมีสีแดงติดมาด้วยเสมอ

17.   เมื่อได้ดอกไม้วิเศษมา 4 ดอกแล้ว  เธอคิดจะเอาไปให้โฟร์กับมด คนละ 1 ดอก  และเก็บไว้เอง 2 ดอก เธอจะให้ได้กี่วิธีที่ต่างกัน

การเรียงสับเปลี่ยน แบบ สลับ ,   ติดกัน  , ไม่ติดกัน

18.     จากนั้น หนูน้อยจึงร่ำลาจอมยุทธและเดินทางต่อ  ระหว่างทาง ได้เจอลูกเป็ดขี้เหร่  4  ตัว และลูกไก่ขี้ไม่ออกอีก 4 ตัว  จึงจับมายืนเรียงเพื่อถ่ายรูป   จะจัดได้กี่วิธี  เมื่อต้องการให้

18.1      เป็ดกับไก่ยืนสลับกันทีละ 1 ตัว                          18.2    เป็ดกับไก่ยืนสลับกันทีละ 2 ตัว

19.   ระหว่างนั้น  ก็มีลูกหมาขี้เซาเดินมาอีก 4 ตัว  ถ้าจับเป็ด 4ตัว  ไก่ 4 ตัว หมา 4 ตัว มายืนถ่ายรูป  จะได้กี่วิธี  เมื่อ

19.1   สลับเป็ด , ไก่, หมา ทีละ 1 ตัว                          19.2   สลับเป็ด , ไก่, หมา ทีละ 2 ตัว

20.  ต่อมา เธอชักสงสัยตัวเองว่าจะสลับทำไมให้ยุ่งยาก    เธอจึงจัดใหม่  โดยให้สัตว์ชนิดเดียวกันอยู่ติดกันเสมอ  จะจัดได้กี่วิธี

21.     แต่อนิจจา  หมากัดกัน  เธอจึงต้องจัดใหม่โดยไม่ให้หมาอยู่ติดกัน  โดยที่

21.1        ไม่ให้หมาสองตัวใดๆติดกันเลย               21.2    ไม่ให้ติดกันครบ 4 ตัว  (ติดกันบางตัวได้)