บางสิ่ง…ที่ต้องก้าวข้ามให้พ้น


ในการที่จะทำอะไรสักอย่างให้ได้ดีนั้น  มันย่อมมีความยาก

แม้ประโยคนี้ใครๆก็รู้ แต่บางครั้งสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับความรู้สึก ก็ยากเกินต้านทานรับไหว

 

ช่วงเวลาที่ผ่านมา มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราเกิดอาการท้อใจอย่างรุนแรง ความมั่นใจในชีวิตลดฮวบ

รู้สึกแย่กับตัวเอง  รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง –โง่ –ห่วยกากซากอ้อย  ฯลฯ

จนลุกลามไปถึงขั้นไม่แน่ใจว่าเราเหมาะกับเส้นทางสายนี้จริงหรือไม่

 

บนความท้อแท้ใจที่เกิดขึ้น  มีประโยคหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัวสมองว่า

 

บางที ความรู้สึกที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้  ก็อาจเป็นแบบทดสอบจากฟากฟ้า

ที่ส่งมาเพื่อพิสูจน์ใจเราว่า  “มึงรักที่จะทำสิ่งนี้จริงหรือไม่”

 

ใช่, บางที ความรู้สึกท้อแท้ใจที่เกิดขึ้นนี้ ก็เป็นเพียงแบบทดสอบ

แบบทดสอบที่เราต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้

ไม่ต่างอะไรจากการสอบในสมัยเรียน ที่ต้องสอบให้ผ่านก่อนจะได้รับใบปริญญา

 

ไปหยิบหนังสือทำมือที่ตัวเองเคยเขียนออกมาอ่าน   เราเคยเขียนไว้ว่า

 

“ถ้าการเป็นนักเขียนที่ดี มันทำได้ง่ายๆ  ป่านนี้ใครๆก็เป็นนักเขียนที่ดีกันหมดแล้วสิ

แต่เพราะมันยากไง

ที่ทางแห่งความฝัน จึงถูกจำกัดไว้สำหรับคนที่ต้องการมันจริงๆเท่านั้น

และความยากนั้นเอง ก็คือตัวคัดกรองชั้นดี  ที่มีไว้เพื่อกันคนที่ไม่ได้ต้องการความฝันนั้นจริงๆออกไป

ใครเหลาะแหละ ใครไม่จริงจัง  คนนั้น…ออกไป!!!

 

“ถ้าสิ่งนั้นคือสิ่งที่อยากทำจริงๆ  จะไปกลัวทำไมกับความยาก

ยาก..ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หยุด!!

 

บางที  การเป็นคนโง่ คนไม่เก่ง คนด้อยความสามารถ อาจไม่ใช่เรื่องน่าอาย

การยอมแพ้อะไรง่ายๆโดยไม่ได้สู้เต็มที่ต่างหากที่น่าอายกว่า

 

เพราะฉะนั้นในวันนี้

หากใครจะด่าเราว่าห่วยกากซากอ้อยด้อยความสามารถ…. เรายอมได้

แต่เรายอมไม่ได้…. หากใครจะว่าเราว่า ยอมแพ้ง่ายและไร้ความพยายาม

 

 

เราจะไม่ยอมแพ้ครับ

แม้ว่ามันไม่สวยงาม แต่มันก็คือเส้นทางที่เราเลือก

หากอิสรภาพ คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา

ชีวิตที่พ้นจากพันธนาการของงานประจำ และมาใช้ชีวิตอิสระอย่างฉัน   ก็คงดูผิวเผินเหมือนว่าน่าจะมีความสุขและน่าอิจฉา

 

ตอนแรก หลังลาออกใหม่ๆ  ฉันก็รู้สึกแบบนั้น

แน่ล่ะ…ชีวิตที่เคยอยู่ในกฎระเบียบอันเข้มงวดของการเป็นครูมา 3 ปี   มาวันหนึ่ง ได้โบยบินออกจากกฎต่างๆและพันธะ   จะไม่ให้ชีวิตลั้นลายังไงไหว

ไม่ต้องส่งใบลา  จะไปไหนวันธรรมดาก็ไม่ต้องขออนุญาตใคร   อยากนอนตื่นกี่โมงก็ได้  ไม่ต้องเฝ้าคอยให้ถึงวันศุกร์   ไม่ได้หมดสนุกเมื่อถึงเย็นวันอาทิตย์   ไม่ต้องใช้ชีวิตตามสั่ง  ไม่ต้องไปนั่งทำสิ่งที่ฝืนใจ  ได้ทำอะไรๆตามใจต้องการ

โบยบิน โบยบิน  โบยบิน   โบยบินไปเจอโลกที่กว้างใหญ่

อิสรภาพที่ได้รับมาใหม่ๆนี้มันช่างหอมหวาน

ชีวิตนี้ช่างงดงามและน่าค้นหา   มีเรื่องมากมายให้เรียนรู้ตลอดเวลา

ฉันแอบคิดแบบน่าหมั่นไส้ว่า  ชีวิตกูนี่น่าอิจฉาซะจริงๆ

……

…..

…..

แต่จริงหรือไม่ที่ว่า  ไม่มีเส้นทางไหนในโลกนี้ที่ชีวิตจะมีแต่ความหอมหวาน

ทุกๆเส้นทางล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย

ชีวิตแบบนี้ก็เช่นกัน

……

 

1  ความเหงา

บนความอิสระ  นี่คือสิ่งที่ต้องพ่วงมาด้วยเป็นแพ๊กเกจเดียวกัน

ยิ่งช่วงที่(พยายามจะ)ทำงานเขียนอยู่ที่บ้านด้วยแล้ว วันๆก็ไม่ค่อยได้เจอใคร ไม่เหมือนตอนทำงานประจำที่ก็ยังเจอคนโน้นคนนี้ มีคนให้พูดคุย  แต่พออยู่คนเดียวนานๆอย่างนี้ มันก็เหงาใช่เล่น

เหงาไปเหงามา พาลทำให้ฟุ้งซ่านอีกต่างหาก

ทำงานกับคนเยอะก็ปวดหัว แต่ถ้าทำงานคนเดียวนานๆก็เคว้งคว้างเหมือนกัน

 

2  การควบคุมตัวเองได้ยาก

สภาวะที่อิสระมากเกินไป  มีข้อเสียตรงที่ว่า ไม่มีการตอกบัตร ไม่มีเจ้านาย  งานก็ไม่มีเดดไลน์อะไรเลย

จนส่งผลให้การควบคุมตัวเองให้ทำงานอะไรๆที่คิดจะทำให้เสร็จนั้น เป็นไปได้ยาก

แทนที่จะเปิดเวิร์ดนั่งเขียน  ก็ไปเปิดเฟซบุ๊ค… อะไรประมาณนี้ เป็นต้น

ซึ่งผลของมันก็คือ การสูญเสียเวลาไปอย่างว่างเปล่าเยอะมาก จน…รู้สึกผิด  รู้สึกชีวิตไร้สาระแล้วรู้สึกแย่กับตัวเอง

ทั้งๆที่รู้นะ – แต่ความยากมันอยู่ตรงที่ว่า  หลายๆครั้งที่พยายามเปิดเวิร์ดแล้วนั่งเขียน แต่…มันคิดไม่ออก  เขียนไม่ออก คำพูดไม่ไหล  สื่อความคิดออกมาเป็นตัวอักษรที่โดนใจไม่ได้  คิดไม่ออก คิดไม่ออก  มันก็เลยหนีไปหาเฟซบุ๊คทุกที  แล้วก็รู้สึกผิดทุกที  แต่จะกลับมาเขียนก็เขียนไม่ออกอยู่ดี  วนลูปเลยว่ะ  ชีวิตก็เลยรู้สึกไม่ค่อยมีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน  มันก็เลยรู้สึกเหมือนตัวเองไร้คุณค่าปราศจากน้ำมันตับปลาและโอเมก้าสามยังไงก็ไม่รู้

 

 

3  มึงจะไปทางไหนกันแน่

อย่างที่เขียนไปในตอน “ชีวิตหลังลาออก”  ว่าเราก็มีเรื่องที่อยากเรียนรู้มากมายหลายอย่าง  ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้เราหลงๆงงๆเคว้งๆเหมือนกันว่า  จะทำอะไรก่อนอะไรหลังดีวะ… จะเขียนหนังสือ หรือจะฝึกถ่ายรูป หรือจะหัดตัดต่อ หรือจะหัดทำสารคดีสั้นแบบถ่ายวีดีโอ หรือจะไปทำวิจัยกับกลุ่มชาวนา

แล้วปัญหาก็ติดอยู่ตรงที่ว่า แต่ละอย่างที่อยากทำ มันก็ไม่ใช่จะทำง่ายๆ การจะทำอะไรให้ดีได้ มันก็ต้องการเวลา ต้องการความทุ่มเทอย่างจริงๆจังๆ    การจับปลาหลายมือบางทีมันก็อาจทำให้ไม่ได้ปลาสักตัว

แล้วการที่ไม่มีปลาสักตัวแบบนี้ มันทำให้รู้สึกชีวิตไม่มีคุณค่ายังไงก็ไม่รู้

อย่างตอนทำงาน เรายังมีคุณค่าต่องานที่ทำ  แต่นี่…โคตรเคว้งเลย

 

ก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่า – เราควรจะเลือกอะไรสักอย่างแล้วทุ่มกับมันอย่างเต็มตัวจริงๆ

หยุดชีวิตจับฉ่ายแบบไม่ได้ปลาสักตัวอย่างนี้ได้แล้ว

และตอนนี้ แผนปฏิรูปชีวิตตัวเองใหม่ก็ถูกร่างคร่าวๆไว้ในใจละ  ไว้มีโอกาสจะบอก

 

 

4  ความรู้สึกกาก

ว่ากันว่า พระเจ้าประทานความถนัดให้มนุษย์แต่ละคนมาคนละด้านกัน ที่เรียกขานกันในนามพรสวรรค์

วิชาเลข อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอย่างเดียวในชีวิตที่เรากล้าพูดว่า เราถนัด

แต่บังเอิ๊ญ บังเอิญ บังเอิญ โชคชะตาเล่นตลกยังไงก็มิทราบ

ไอ้กบตัวหนึ่งที่เคยอยู่ในกะลาแห่งโลกตรรกะ-วิศวฯ-การคิดคำนวณ ดันไปเจอประตูโดราเอมอน ที่พาเจ้ากบไปเจอโลกใบใหม่นอกกะลา – โลกของศิลปะ  ความคิดสร้างสรรค์    หนังสือ   สารคดี  ชีวิตผู้คน  เรื่องราวในชนบท  ฯลฯ  จนทำให้เจ้ากบตัวนั้นหลงใหลในโลกใบใหม่ และรู้สึกว่า ไม่อยากอยู่กับตัวเลขแล้ว  อยากจะออกไปเจอสิ่งเหล่านี้  อยากไปเห็น อยากไปเรียนรู้  อยากไปสัมผัส  จนกระทั่งว่า อยากทำงานในสายนี้

 

เมื่อความสนใจในชีวิตเปลี่ยนไป และชีวิตเริ่มก้าวสู่โลกใบใหม่

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ มันไม่ได้ง่าย…

เพราะเอาเข้าจริงๆก็คือ มันไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด  ไม่ใช่สิ่งที่เป็นพรสวรรค์ดั้งเดิมของเรา

เมื่อความสามารถเราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสิ่งนี้ แต่บังเอิญเราเลือกที่จะทำ  สิ่งที่ต้องพบก็คือความยากกกกกกกกกกส์

คนมีพรสวรรค์ ไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย ก็ทำได้ดี

แต่คนไม่มีพรสวรรค์ อาจต้องออกแรงกายแรงใจมากกว่าหลายเท่า  กว่าจะได้ผลงานที่มีคุณภาพเท่ากัน

ซึ่ง – มันต้องใช้แรงพลังใจค่อนข้างมาก

อย่างเช่นการเขียน  หลายครั้งที่ได้แต่นั่งนิ่งอยู่หน้าโปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ดที่ว่างเปล่า โดยไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง

หลายครั้งที่ย่อหน้าเดียว ถูกแก้ไปแก้มาหลายชั่วโมงก็ยังไม่ได้ดั่งใจ

หลายครั้งที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวให้ออกมาเป็นตัวอักษรได้

และหลายครั้ง  ที่รู้สึกว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างเปล่าดาย  โดยไม่มีผลงานอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน

มันเป็นความรู้สึกที่โหดร้าย

โหดร้ายตรงที่ว่าเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เรารักจะทำ  แต่เราทำมันไม่ได้

จนรู้สึกว่าตัวเองแม่งห่วยกากซากอ้อยด้อยความสามารถ  จนหลายๆครั้งก็รู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ

ซึ่งนั่น ก็คืออีกความรู้สึกหนึ่งที่เราก็ต้องต่อสู้กับมัน

 

 

———————————-

 

 

ถ้าเปรียบตัวเราในวันที่ลาออก  เป็นนกที่ตัดสินใจบินออกจากกรง เพราะรู้สึกว่าโลกภายนอกมันช่างกว้างใหญ่ สวยงาม และมีอะไรที่น่าค้นหา

ความรู้สึกต่างๆที่เราต้องเผชิญในวันนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรจากพายุ  ที่ชีวิตของนกนอกกรงจำเป็นต้องเจอกับมัน

 

แม้ว่ามันจะเตรียมใจไว้แต่แรกว่าข้างนอกนั้นมีพายุ

แต่หลายๆครั้งมันก็หนักเกินกว่าที่มันเคยคาดคิด จนหลายๆคราวที่ทำให้สองปีกฝันของมันอ่อนล้า

แต่วันหนึ่ง…เมื่อมันได้ย้อนนึกถึงความรู้สึกตอนที่อยู่ในกรงขังและใฝ่ฝันที่จะบินออกมา

มันก็พบว่า มันตัดสินใจไม่ผิด

 

เพราะไม่ว่าวันนี้จะหนักหนาอย่างไร  มันก็ยังดีกว่าการที่ต้องค้างคาใจกับความรู้สึกอยากทำแล้วไม่ได้ลงมือทำ

ซึ่งถ้าไม่ลงมือทำ  เราก็ไม่มีวันรู้ว่าเราจะทำได้หรือทำไม่ได้ – ใครหลายๆคนบอกไว้เช่นนั้น

และการจะรู้ว่าทำได้หรือทำไม่ได้  จะไม่มีทางบอกได้ ถ้าหากยังไม่ได้สู้ไปจนสุดทาง

 

ฉันนึกถึงคำพูดของคุณชาติ กอบจิตติ ประโยคหนึ่งที่ว่า

“ถ้าเราตั้งเป้าหมายจะไปไหน  เราต้องเดินไปให้ถึง  จะล้มตายกลางทาง หรือไม่ถึงจุดหมายก็ไม่เป็นไร  เพราะชีวิตนี้  เราได้เดินแล้ว”

ใช่, อย่างน้อยเราก็ได้เดินแล้ว

สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือสิ่งที่เราเลือกเอง  เราเลือกที่จะเดินออกมาเอง และในวันนั้นเราก็มั่นใจว่าเราตัดสินใจดีแล้ว

เลือกแล้ว … ก็ต้องลองดู  ก็ต้องก้าวเดินต่อไปอย่างเต็มกำลัง

แม้ไม่ได้สวยงามดังฝัน  ก็ไม่เป็นไร  ….

 

ถ้าสุดท้ายแล้วมันจะล้มลุกคลุกคลานกลิ้งตีลังกาตกเหวยังไง… ก็จะได้รู้ไปชัดๆว่าเราทำไม่ได้

ดีกว่านั่งฝันใฝ่โดยไม่เคยได้ลองทำ

 

ชีวิตหลังลาออก

 

“ช่วงนี้ทำอะไรอยู่?” 

นับเป็นคำถามปวดตับมาก ที่ได้ยินโคตรบ่อย ในระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา

ไม่ใช่ว่าอายหรือไม่อยากบอกนะ  แต่คือมันไม่รู้จะตอบยังไงน่ะ

คือมันไม่เหมือนตอนทำงานประจำที่พอถามว่าทำอะไร  ก็ตอบว่าอ๋อ ทำงานที่นั่นที่นี่ …ประโยคเดียวก็จบ

แต่พอลาออก  สิ่งที่ทำในแต่ละวันมันก็ไม่ซ้ำกัน  วันนี้ทำนี่ วันนั้นทำนั่น  มีอะไรให้ทำหลายอย่างให้ทำ  มันก็เลยไม่รู้จะตอบยังไงดีให้สั้นๆภายในประโยคเดียว

 

ก็นั่งคิดอยู่นานว่าจะนิยามชีวิตตัวเองช่วงนี้ว่ายังไงดีน้อ  จะว่าว่างงานก็ไม่เชิง  เพราะงานน่ะ มีให้ทำตลอดเวลาเลย เพียงแต่ไม่ได้เงินเท่านั้นล่ะ  เพราะเป็นงานที่ไม่มีใครสั่ง แต่เรานี่แหละที่มันดันอยากทำเอง

คิดไปคิดมา  ก็ได้บทสรุปว่า  นิยามสั้นๆของชีวิตช่วงนี้คือ

เป็น  “นักเรียนนอก”  ……. หมายถึง  นอกมหาลัยน่ะ  555

 

ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตแบบไร้เงินเดือนนี้  หลายคนอาจมองว่ามันคือความไม่มั่นคง ความล่องลอยไร้อนาคต

แต่เรามองว่าช่วงเวลานี้ก็เหมือนกับการเรียนต่อปริญญาโทของคนทั่วๆไปนั่นแหละ

แต่ว่าของเรา ไม่ต้องไปลงทะเบียนให้เสียตังค์   แต่ต้องไปนั่งเรียนในมหาลัย  แต่อยากเรียนอะไรก็เดินเข้าไปเลย  เลือกอาจารย์เอง  เดินเข้าหาอาจารย์เอง  เรียนอยู่ในโลกกว้าง  เพราะจุดหมายปลายทางของเราไม่ได้อยู่ที่ใบปริญญา  แต่อยู่ที่การ “บ่มเพาะ” เพิ่มพูนความรู้ความสามารถของเราให้เก่งขึ้นต่างหาก   เพราะตอนนี้ เราก็ชัดเจนกับตัวเองในระดับหนึ่งแล้วว่า เราชอบอะไร สนใจอะไร ในอนาคตอยากทำงานที่ไหน   แต่ปัญหาอย่างเดียวตอนนี้ก็คือ ยังเป็นแรงงานไร้ฝีมืออยู่

เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาตรงนี้แหละ  คือช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะขับเคี่ยวตัวเองให้พัฒนาขึ้นมา

ด้วยความหวังที่ว่า –  “สักวันกูจะเก่งพอสำหรับงานที่กูรัก”

 

เรียนอะไรอยู่ ?

ทั้งหมดทั้งมวลก็คงแบ่งออกมาก็คงได้เป็นสองศาตร์ใหญ่ๆ ก็คือ

1.นิเทศศาสตร์  สาขาการทำสารคดี  ….  ที่เรามาสนใจตรงนี้ก็เพราะมีทีวีบูรพานี่แหละเป็นแรงบันดาลใจ  ทั้งนิตยสาร ฅ คน รายการคนค้นฅน , กบนอกกะลา , แผ่นดินไท  ที่ยิ่งติดตามก็ยิ่งประทับใจ จนเริ่มจะหลงรักงานสารคดีแนวนี้  แล้วมันก็เลยเกิดความรู้สึกว่าอยากทำบ้าง  ก็เลยพยายามที่จะเรียนรู้อะไรตรงนี้อยู่

2. ศาสตร์แห่งพระราชา   ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงและการพึ่งตนเอง … โดยมีอ.ยักษ์ , พี่โจน จันใด , อ.เดชา และทีวีบูรพา เป็นผู้จุดประกายให้เราสนใจและเห็นคุณค่าของศาสตร์ทางด้านนี้   เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เราศรัทธา และเชื่อว่าเป็นทางรอดของสังคมไทยก็ว่าได้

 

แล้วทำอะไรมั่ง?

ถ้าให้แจกแจงสิ่งที่ทำให้ช่วงนี้  ก็จะได้ว่า….

 

1.ด้านนิเทศศาสตร์  การทำสารคดี

สิ่งที่ทำอยู่ก็….

– ฝึกเขียนบทความสารคดี … ทั้งลงพื้นที่สัมภาษณ์ และเอามาเขียนเรียบเรียง  ซึ่งก็ลองทำจริงจากการไปสัมภาษณ์ชาวนาคุณธรรม แล้วเอามาเขียนโพสในเฟซบุ๊ก ตอนนี้ฝีมือก็อยู่ในระดับตั้งไข่เตาะแตะ  แต่ก็จะพยายามพัฒนาต่อไป

 

– ฝึกถ่ายรูป …เพราะงานนี้  ลงพื้นที่ก็ไปคนเดียว ก็ต้องทำเองทั้งสัมภาษณ์ทั้งถ่ายภาพนั่นล่ะ   หลังจากที่เคยแต่ใช้กล้องคอมแพ็ค  พอยืมกล้องแคนนอนของพ่อมาใช้  …โห แทบไม่อยากคืน …ชักจะหลงรักการถ่ายภาพเข้าให้แล้ว   ตอนนี้ก็กำลังศึกษาเทคนิคการตั้งค่าต่างๆที่มากกว่าแค่กดๆ auto อย่างที่เคยทำ…พอรู้เทคนิคนี่ทำให้เพิ่งจะค้นพบว่าการถ่ายรูปนี่โคตรสนุกเลย (แต่ก็เหนื่อยใช่ย่อยนะเนี่ย)

 

-เรียนการเขียนสารคดี … จริงๆแล้วคือ พี่บก. นิตยสาร ฅ คน ชวนเราไปเป็นสตาฟในงานอบรมการทำหนังสือให้เด็กๆที่ รร.ปัญญาประทีปจากการที่เราเคยทำหนังสือทำมือ  แต่ในใจน่ะ โคตรดีใจที่ว่าจะมีโอกาสได้นั่งเรียนด้วย  โห…จะได้เรียนวิชาจากทีมงานนิตยสารที่เราชอบมากที่สุดในประเทศไทย … โอกาสแบบนี้หาง่ายๆซะที่ไหน  ดีใจสุดๆล่ะงานนี้  รู้สึกดีใจมากที่พี่เขาให้โอกาสเรา

 

– เรียนการผลิตรายการสารคดี   … อันนี้ก็เพิ่งไปอบรมมาสดๆร้อนๆ กับโครงการ “สื่ออาสา” ที่มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติจัดขึ้น  โดยมีพี่ๆทีวีบูรพาเป็นวิทยากร   ได้เรียนทั้งการวางแนวคิด การวางโครงเรื่อง การถ่ายภาพ การตัดต่อ  โห…ตื่นเต้นมาก  ตัดต่อเป็นแล้ว!!!   เรียกได้ว่าจากตอนแรกที่คิดว่าคงทำคนเดียวไม่ได้ เพราะทำอะไรไม่เป็นเลย  ก็พอเห็นแนวทาง  พอจะเห็นทางว่าต้องเริ่มยังไง มีขั้นตอน มีวิธีคิดยังไงบ้าง   อบรมมา5วัน ก็เหมือนตัวเราได้ติดอาวุธละ  ได้เพลงดาบมาแล้ว  เหลือแค่ฝึกฝนให้มันทำได้ดี

 

-ตั้งใจว่าจะลองผลิตสารคดีสั้นๆฝีมือตัวเองออกมาให้จงได้!!  เป็นเหมือนทีสิสที่ต้องทำหลังเรียนนั่นแหละ  ซึ่งเนื้อหาที่ทำ ก็คงหนีไม่ต้องเรื่องเกษตรอินทรีย์ หรืออะไรแนวๆนี้แหละ

 

 

2.ศาสตร์แห่งพระราชา  เศรษฐกิจพอเพียง และการพึ่งตนเอง

 

-เก็บข้อมูลพันธุ์ข้าวพื้นบ้าน 150 สายพันธุ์ของพี่ตุ๊หล่างให้เป็นระบบ  เพราะตอนนี้ข้อมูลทุกอย่างอยู่แต่ในสมองของพี่ตุ๊หล่าง  และในอนาคตทางกลุ่มก็จะมีศูนย์วิจัยข้าว ซึ่งจะเป็นศูนย์เรียนรู้ด้วย  การเก็บข้อมูลนี้ให้เป็นเอกสาร เป็นระบบก็เป็นเรื่องสำคัญ  เรื่องนี้เราก็สนใจจะลงไปช่วยทำอยู่  ที่ผ่านมาก็ไปเก็บมาแล้วส่วนนึง ยังเหลือให้ทำอีกเยอะ

 

-ช่วยงานวิจัยของกลุ่มชาวนาคุณธรรม … พอดีมีอาจารย์คนหนึ่งที่เคยเป็นระดับบริหารของธกส. แต่ลาออกมาเป็นอาสาสมัครทำงานกับกลุ่มชาวนา (อ.นิคม เพชรผา) ก็ชวนเราไปช่วยงานวิจัยอยู่เหมือนกัน  ซึ่งก็มีสองเรื่อง คือ

 

หนึ่ง – วิจัยโดยการลงพื้นที่ไปสอบถามชาวบ้านว่า “ในเมื่อรู้ว่าเกษตรอินทรีย์มันดี แต่ทำไมไม่ทำกัน ?”   โดยกลุ่มพื้นที่อยู่ที่บ้านสิงห์  อ.เมือง จ.ยโสธร   ก็เป็นโครงการที่น่าสนใจเหมือนกัน…เออ ทำไมนะ  ทำไมถึงไม่ทำกัน  ก็จะได้เข้าไปคุย

 

สอง – วิจัยเรื่องการสร้างมาตรฐานข้าวอินทรีย์ขึ้นมาใหม่  ซึ่งปกติแล้ว ทางกลุ่มต้องขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ระดับสากลของ IFOAM ซึ่งต้องเสียเงินปีละหลายแสน   ทางกลุ่มก็คิดขึ้นมาว่า จะทำการวิจัยเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในแบบของเราเองขึ้นมา ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงกว่า IFOAM คือ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เชิงคุณธรรม  คือนอกจากทำเกษตรอินทรีย์แล้ว  ชาวนาเองก็ต้องมีคุณธรรมด้วย  งานวิจัยนี้ก็จะว่าด้วยการหากระบวนการว่าจะทำยังไงเพื่อสร้างมาตรฐานนี้ขึ้นมาให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล  ในอนาคตก็ไม่ต้องไปขอรับรองIFOAM ให้เสียเงินแล้ว  (ซึ่งอันนี้เราก็ยังงงๆอยู่ว่า เราจะไปช่วยยังไงได้บ้างหว่า  แต่ก็น่าสนใจอยู่ เพราะงานนี้จะได้ลงพื้นที่ไปหาชาวนาคุณธรรมทุกคนเลย)

 

—————————————————————–

 

ก็นั่นล่ะ  ชีวิตของเราในช่วงนี้   ก็ค่อนข้างจับฉ่ายพอดู  วันนี้ทำนี่ วันโน้นทำนั่น  มันก็เลยไม่รู้จะตอบว่าอะไร เวลาคนถามว่าทำอะไรอยู่     ไม่มีงานประจำ ก็ไม่ได้แปลว่าว่างเน้อ  มีอะไรให้ทำตลอดเวลาแหละ เพียงแต่ไม่มีเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนเท่านั้นเอง    สิ่งตอบแทนที่ได้ ก็คงเป็นความรู้ความสามารถที่จะเพิ่มพูนขึ้นมากกว่า เพราะเราถือว่าทั้งหมดนี้คือการเรียน  ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง  ค่าอบรมอะไรต่างๆ ก็ถือว่าเป็นทุนการศึกษาละกัน

 

“ไม่มีเงินเดือน แล้วเอาเงินที่ไหนใช้”

เป็นคำถามยอดฮิตอีกคำถามนึงเลย

คำตอบก็คือ …เงินเก็บสิครับท่าน… คนอย่างเราไม่เกาะพ่อแม่กินเฉยๆหรอกน่า

เชื่อไหมว่า เรามีเงินเก็บตั้งแต่ ป.4-ป.5  แม่ให้เงินค่าขนมเป็นรายสัปดาห์  ก็เหลือตลอด ก็เก็บมาเรื่อยๆ  จนถึงทำงาน

โชคดีที่ว่า โดยนิสัยส่วนตัว…ไม่รู้ทำไมนะ  จะไม่ค่อยอยากได้โน่นได้นี่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง  อย่างสมัยเด็กๆที่เค้าฮิตนาฬิการุ่นนั้นรุ่นนี้ ก็ไม่เคยรู้สึกอยากได้   ตอนที่เค้าฮิตเล่นทามาก๊อต ก็ไม่รู้สึกอยากได้  จนถึงปัจจุบันเค้าจะใช้บีบี ไอโฟน ไอพอดทัชอะไร  ก็ไม่ได้รู้สึกอยากได้ไปกับเค้าเล้ยยยย  …นับว่าเป็นคนแปลกที่ต่อมความอยากได้ต่ำกว่ามนุษย์ทั่วไป

อย่างช่วงที่เป็นครู  วันๆแทบไม่ต้องใช้เงิน  ข้าวเช้าก็ที่บ้าน  ข้าวเที่ยงก็ฟรี  ข้าวเย็นก็ที่บ้าน  อย่างมากก็ซื้อโกโก้เย็นรถเข็น 12 บาท ( ความจริง17 แต่เอากระติกน้ำไปเอง ป้าลดให้เหลือ12)    ค่าน้ำขับขับรถไปกลับเดือนนึงก็ไม่เท่าไหร่ เพราะมันใกล้บ้าน  ค่าโทรศัพท์เดือนนึงก็แค่ร้อยกว่าบาท  ช้อปปิ้งก็ไม่ช้อบ  เครื่องสำอางค์ไม่ใช้  … เงินเดือนก็เลยมีเหลือเก็บมาเรื่อยๆ  …. ก็คิดอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มทำงานล่ะ  ว่ามันจะต้องมีวันแบบนี้   ก็เลยเก็บเงินเผื่อไว้ก่อน  ซึ่งมันก็ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นจริงๆ   ทำให้รู้เลยว่า การมีเงินเก็บ มันจำเป็นสำหรับอิสรภาพจริงๆนะเนี่ย (สำหรับชีวิตในเมือง)

 

โชคดีที่ว่าเราเก็บเงินมาตั้งแต่วันนั้น  ทำให้วันนี้เราโอกาสอย่างน้อยก็สักระยะ ในการที่จะได้ทำอะไรตามใจอยาก โดยไม่ต้องแคร์เรื่องเงินเดือน

 

แต่แน่ล่ะ…มันก็ได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ

เมื่อเงินเก็บหมด  เราก็ต้องมองหาอะไรบางอย่างที่มั่นคงด้วยแหละ…ซึ่ง…เราก็คิดไว้แล้ว

 

“แล้วอนาคตล่ะ มีความมั่นคงรองรับไหม?

อีกหนึ่งคำถามที่ผู้หวังดีมักแสดงความเป็นห่วง

ซึ่งแน่นอนว่า…เราก็คิดไว้แล้วเช่นกัน

“ทีวีบูรพา”  คือบริษัทเดียวที่เราอยากทำ

คิดอยู่ที่เดียวเนี่ยแหละ  ไม่ได้คิดถึงที่อื่นเลย   ถ้าไม่ได้…ก็จะรอจนกว่าจะได้นั่นแหละ !!

มันอาจเป็นความคิดที่บ้าในสายตาของใครหลายคน

แต่สำหรับเรา  เรารู้สึกว่า การเลือกที่จะทำงานสักที่หนึ่ง  ใจต้องมาก่อน ความอยากทำต้องมาก่อน

เรารู้สึกว่าการจะทำงานสักที่หนึ่ง  มันไม่ใช่แค่เรื่องของเงินเดือน  แต่มันคือเรื่องของชีวิตทั้งชีวิต

เราไม่ได้ตามหางานที่มีเงินเดือนสูง  แต่เราตามหางานที่เรารัก เราศรัทธา และพร้อมที่จะทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตให้กับมัน  ให้งานกับชีวิตก้าวไปในจังหวะเดียวกัน  ไม่แยกขาดจากกันเหมือนที่ผ่านมา …

มีคนเคยบอกว่า “จงทำงานกับคนที่เราศรัทธา”

ซึ่งทีวีบูรพา ก็เป็นคำตอบนั้น

เราศรัทธาที่นี่  ชื่นชมผลงานของที่นี่  ได้อ่านบทสัมภาษณ์พี่เช็ค  บทสัมภาษณ์ทีมงาน อ่านเบื้องหลังการถ่ายทำมาเยอะ  มันก็เกิดเป็นความผูกพันโดยไม่รู้ตัว  ยิ่งเข้าไปรู้จักมากขึ้นก็ยิ่งประทับใจ  มันก็เลยไม่คิดจะไปทำงานที่อื่นน่ะ

 

ถ้าถามว่า ถึงวันที่เงินเก็บหมด  แต่ทีวีบูรพายังไม่พร้อมรับเราเข้าทำงานจะทำยังไง

อันนี้ก็คิดไว้แล้วอีกเช่นกันว่า  เราก็จะไปเป็นอาสาสมัครช่วยงานของมูลนิธิ …อาจจะเป็นมูลนิธิของกลุ่มชาวนาคุณธรรม หรือไม่ก็เครือข่ายของอ.ยักษ์  ซึ่งสถานที่เหล่านี้ก็ต้องการคนช่วยงานอยู่แล้ว    อยู่ฟรีกินฟรี โดยทำงานแลกเป็นการตอบแทน   ชีวิตแบบนี้ก็เป็นไปได้   ไม่ใช่ว่าเงินเก็บหมดแล้วหมดหนทางซะที่ไหน….เราจะไม่ยอมกลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนแบบไร้หัวใจแน่ๆ     ถ้าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน …ก็จะต้องเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีหัวใจให้งานเต็มที่เท่านั้นแหละ

 

แต่อนาคตจะเป็นยังไง  มันไม่สำคัญเท่ากับปัจจุบันหรอก

สิ่งที่ต้องคิดในวันนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะรับเราเข้าทำงานไหม แต่สิ่งที่ต้องคิดก็คือ ทำยังไงให้เราดีพอเก่งพอสำหรับงานนั้นต่างหาก   ความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอหรอก  ฝีมือก็ต้องมีด้วย

 

เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราในวันนี้  คือพัฒนาฝีมือของตัวเองให้มันหลุดพ้นจากความกากให้ได้เท่านั้นแหละ

แม้จะยาก… แต่ก็จะพยายามครับ