“ช่วงนี้ทำอะไรอยู่?”
นับเป็นคำถามปวดตับมาก ที่ได้ยินโคตรบ่อย ในระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา
ไม่ใช่ว่าอายหรือไม่อยากบอกนะ แต่คือมันไม่รู้จะตอบยังไงน่ะ
คือมันไม่เหมือนตอนทำงานประจำที่พอถามว่าทำอะไร ก็ตอบว่าอ๋อ ทำงานที่นั่นที่นี่ …ประโยคเดียวก็จบ
แต่พอลาออก สิ่งที่ทำในแต่ละวันมันก็ไม่ซ้ำกัน วันนี้ทำนี่ วันนั้นทำนั่น มีอะไรให้ทำหลายอย่างให้ทำ มันก็เลยไม่รู้จะตอบยังไงดีให้สั้นๆภายในประโยคเดียว
ก็นั่งคิดอยู่นานว่าจะนิยามชีวิตตัวเองช่วงนี้ว่ายังไงดีน้อ จะว่าว่างงานก็ไม่เชิง เพราะงานน่ะ มีให้ทำตลอดเวลาเลย เพียงแต่ไม่ได้เงินเท่านั้นล่ะ เพราะเป็นงานที่ไม่มีใครสั่ง แต่เรานี่แหละที่มันดันอยากทำเอง
คิดไปคิดมา ก็ได้บทสรุปว่า นิยามสั้นๆของชีวิตช่วงนี้คือ
เป็น “นักเรียนนอก” ……. หมายถึง นอกมหาลัยน่ะ 555
ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตแบบไร้เงินเดือนนี้ หลายคนอาจมองว่ามันคือความไม่มั่นคง ความล่องลอยไร้อนาคต
แต่เรามองว่าช่วงเวลานี้ก็เหมือนกับการเรียนต่อปริญญาโทของคนทั่วๆไปนั่นแหละ
แต่ว่าของเรา ไม่ต้องไปลงทะเบียนให้เสียตังค์ แต่ต้องไปนั่งเรียนในมหาลัย แต่อยากเรียนอะไรก็เดินเข้าไปเลย เลือกอาจารย์เอง เดินเข้าหาอาจารย์เอง เรียนอยู่ในโลกกว้าง เพราะจุดหมายปลายทางของเราไม่ได้อยู่ที่ใบปริญญา แต่อยู่ที่การ “บ่มเพาะ” เพิ่มพูนความรู้ความสามารถของเราให้เก่งขึ้นต่างหาก เพราะตอนนี้ เราก็ชัดเจนกับตัวเองในระดับหนึ่งแล้วว่า เราชอบอะไร สนใจอะไร ในอนาคตอยากทำงานที่ไหน แต่ปัญหาอย่างเดียวตอนนี้ก็คือ ยังเป็นแรงงานไร้ฝีมืออยู่
เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาตรงนี้แหละ คือช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะขับเคี่ยวตัวเองให้พัฒนาขึ้นมา
ด้วยความหวังที่ว่า – “สักวันกูจะเก่งพอสำหรับงานที่กูรัก”
เรียนอะไรอยู่ ?
ทั้งหมดทั้งมวลก็คงแบ่งออกมาก็คงได้เป็นสองศาตร์ใหญ่ๆ ก็คือ
1.นิเทศศาสตร์ สาขาการทำสารคดี …. ที่เรามาสนใจตรงนี้ก็เพราะมีทีวีบูรพานี่แหละเป็นแรงบันดาลใจ ทั้งนิตยสาร ฅ คน รายการคนค้นฅน , กบนอกกะลา , แผ่นดินไท ที่ยิ่งติดตามก็ยิ่งประทับใจ จนเริ่มจะหลงรักงานสารคดีแนวนี้ แล้วมันก็เลยเกิดความรู้สึกว่าอยากทำบ้าง ก็เลยพยายามที่จะเรียนรู้อะไรตรงนี้อยู่
2. ศาสตร์แห่งพระราชา ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงและการพึ่งตนเอง … โดยมีอ.ยักษ์ , พี่โจน จันใด , อ.เดชา และทีวีบูรพา เป็นผู้จุดประกายให้เราสนใจและเห็นคุณค่าของศาสตร์ทางด้านนี้ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เราศรัทธา และเชื่อว่าเป็นทางรอดของสังคมไทยก็ว่าได้
แล้วทำอะไรมั่ง?
ถ้าให้แจกแจงสิ่งที่ทำให้ช่วงนี้ ก็จะได้ว่า….
1.ด้านนิเทศศาสตร์ การทำสารคดี
สิ่งที่ทำอยู่ก็….
– ฝึกเขียนบทความสารคดี … ทั้งลงพื้นที่สัมภาษณ์ และเอามาเขียนเรียบเรียง ซึ่งก็ลองทำจริงจากการไปสัมภาษณ์ชาวนาคุณธรรม แล้วเอามาเขียนโพสในเฟซบุ๊ก ตอนนี้ฝีมือก็อยู่ในระดับตั้งไข่เตาะแตะ แต่ก็จะพยายามพัฒนาต่อไป
– ฝึกถ่ายรูป …เพราะงานนี้ ลงพื้นที่ก็ไปคนเดียว ก็ต้องทำเองทั้งสัมภาษณ์ทั้งถ่ายภาพนั่นล่ะ หลังจากที่เคยแต่ใช้กล้องคอมแพ็ค พอยืมกล้องแคนนอนของพ่อมาใช้ …โห แทบไม่อยากคืน …ชักจะหลงรักการถ่ายภาพเข้าให้แล้ว ตอนนี้ก็กำลังศึกษาเทคนิคการตั้งค่าต่างๆที่มากกว่าแค่กดๆ auto อย่างที่เคยทำ…พอรู้เทคนิคนี่ทำให้เพิ่งจะค้นพบว่าการถ่ายรูปนี่โคตรสนุกเลย (แต่ก็เหนื่อยใช่ย่อยนะเนี่ย)
-เรียนการเขียนสารคดี … จริงๆแล้วคือ พี่บก. นิตยสาร ฅ คน ชวนเราไปเป็นสตาฟในงานอบรมการทำหนังสือให้เด็กๆที่ รร.ปัญญาประทีปจากการที่เราเคยทำหนังสือทำมือ แต่ในใจน่ะ โคตรดีใจที่ว่าจะมีโอกาสได้นั่งเรียนด้วย โห…จะได้เรียนวิชาจากทีมงานนิตยสารที่เราชอบมากที่สุดในประเทศไทย … โอกาสแบบนี้หาง่ายๆซะที่ไหน ดีใจสุดๆล่ะงานนี้ รู้สึกดีใจมากที่พี่เขาให้โอกาสเรา
– เรียนการผลิตรายการสารคดี … อันนี้ก็เพิ่งไปอบรมมาสดๆร้อนๆ กับโครงการ “สื่ออาสา” ที่มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติจัดขึ้น โดยมีพี่ๆทีวีบูรพาเป็นวิทยากร ได้เรียนทั้งการวางแนวคิด การวางโครงเรื่อง การถ่ายภาพ การตัดต่อ โห…ตื่นเต้นมาก ตัดต่อเป็นแล้ว!!! เรียกได้ว่าจากตอนแรกที่คิดว่าคงทำคนเดียวไม่ได้ เพราะทำอะไรไม่เป็นเลย ก็พอเห็นแนวทาง พอจะเห็นทางว่าต้องเริ่มยังไง มีขั้นตอน มีวิธีคิดยังไงบ้าง อบรมมา5วัน ก็เหมือนตัวเราได้ติดอาวุธละ ได้เพลงดาบมาแล้ว เหลือแค่ฝึกฝนให้มันทำได้ดี
-ตั้งใจว่าจะลองผลิตสารคดีสั้นๆฝีมือตัวเองออกมาให้จงได้!! เป็นเหมือนทีสิสที่ต้องทำหลังเรียนนั่นแหละ ซึ่งเนื้อหาที่ทำ ก็คงหนีไม่ต้องเรื่องเกษตรอินทรีย์ หรืออะไรแนวๆนี้แหละ
2.ศาสตร์แห่งพระราชา เศรษฐกิจพอเพียง และการพึ่งตนเอง
-เก็บข้อมูลพันธุ์ข้าวพื้นบ้าน 150 สายพันธุ์ของพี่ตุ๊หล่างให้เป็นระบบ เพราะตอนนี้ข้อมูลทุกอย่างอยู่แต่ในสมองของพี่ตุ๊หล่าง และในอนาคตทางกลุ่มก็จะมีศูนย์วิจัยข้าว ซึ่งจะเป็นศูนย์เรียนรู้ด้วย การเก็บข้อมูลนี้ให้เป็นเอกสาร เป็นระบบก็เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องนี้เราก็สนใจจะลงไปช่วยทำอยู่ ที่ผ่านมาก็ไปเก็บมาแล้วส่วนนึง ยังเหลือให้ทำอีกเยอะ
-ช่วยงานวิจัยของกลุ่มชาวนาคุณธรรม … พอดีมีอาจารย์คนหนึ่งที่เคยเป็นระดับบริหารของธกส. แต่ลาออกมาเป็นอาสาสมัครทำงานกับกลุ่มชาวนา (อ.นิคม เพชรผา) ก็ชวนเราไปช่วยงานวิจัยอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็มีสองเรื่อง คือ
หนึ่ง – วิจัยโดยการลงพื้นที่ไปสอบถามชาวบ้านว่า “ในเมื่อรู้ว่าเกษตรอินทรีย์มันดี แต่ทำไมไม่ทำกัน ?” โดยกลุ่มพื้นที่อยู่ที่บ้านสิงห์ อ.เมือง จ.ยโสธร ก็เป็นโครงการที่น่าสนใจเหมือนกัน…เออ ทำไมนะ ทำไมถึงไม่ทำกัน ก็จะได้เข้าไปคุย
สอง – วิจัยเรื่องการสร้างมาตรฐานข้าวอินทรีย์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งปกติแล้ว ทางกลุ่มต้องขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ระดับสากลของ IFOAM ซึ่งต้องเสียเงินปีละหลายแสน ทางกลุ่มก็คิดขึ้นมาว่า จะทำการวิจัยเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในแบบของเราเองขึ้นมา ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงกว่า IFOAM คือ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เชิงคุณธรรม คือนอกจากทำเกษตรอินทรีย์แล้ว ชาวนาเองก็ต้องมีคุณธรรมด้วย งานวิจัยนี้ก็จะว่าด้วยการหากระบวนการว่าจะทำยังไงเพื่อสร้างมาตรฐานนี้ขึ้นมาให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ในอนาคตก็ไม่ต้องไปขอรับรองIFOAM ให้เสียเงินแล้ว (ซึ่งอันนี้เราก็ยังงงๆอยู่ว่า เราจะไปช่วยยังไงได้บ้างหว่า แต่ก็น่าสนใจอยู่ เพราะงานนี้จะได้ลงพื้นที่ไปหาชาวนาคุณธรรมทุกคนเลย)
—————————————————————–
ก็นั่นล่ะ ชีวิตของเราในช่วงนี้ ก็ค่อนข้างจับฉ่ายพอดู วันนี้ทำนี่ วันโน้นทำนั่น มันก็เลยไม่รู้จะตอบว่าอะไร เวลาคนถามว่าทำอะไรอยู่ ไม่มีงานประจำ ก็ไม่ได้แปลว่าว่างเน้อ มีอะไรให้ทำตลอดเวลาแหละ เพียงแต่ไม่มีเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนเท่านั้นเอง สิ่งตอบแทนที่ได้ ก็คงเป็นความรู้ความสามารถที่จะเพิ่มพูนขึ้นมากกว่า เพราะเราถือว่าทั้งหมดนี้คือการเรียน ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าอบรมอะไรต่างๆ ก็ถือว่าเป็นทุนการศึกษาละกัน
“ไม่มีเงินเดือน แล้วเอาเงินที่ไหนใช้”
เป็นคำถามยอดฮิตอีกคำถามนึงเลย
คำตอบก็คือ …เงินเก็บสิครับท่าน… คนอย่างเราไม่เกาะพ่อแม่กินเฉยๆหรอกน่า
เชื่อไหมว่า เรามีเงินเก็บตั้งแต่ ป.4-ป.5 แม่ให้เงินค่าขนมเป็นรายสัปดาห์ ก็เหลือตลอด ก็เก็บมาเรื่อยๆ จนถึงทำงาน
โชคดีที่ว่า โดยนิสัยส่วนตัว…ไม่รู้ทำไมนะ จะไม่ค่อยอยากได้โน่นได้นี่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง อย่างสมัยเด็กๆที่เค้าฮิตนาฬิการุ่นนั้นรุ่นนี้ ก็ไม่เคยรู้สึกอยากได้ ตอนที่เค้าฮิตเล่นทามาก๊อต ก็ไม่รู้สึกอยากได้ จนถึงปัจจุบันเค้าจะใช้บีบี ไอโฟน ไอพอดทัชอะไร ก็ไม่ได้รู้สึกอยากได้ไปกับเค้าเล้ยยยย …นับว่าเป็นคนแปลกที่ต่อมความอยากได้ต่ำกว่ามนุษย์ทั่วไป
อย่างช่วงที่เป็นครู วันๆแทบไม่ต้องใช้เงิน ข้าวเช้าก็ที่บ้าน ข้าวเที่ยงก็ฟรี ข้าวเย็นก็ที่บ้าน อย่างมากก็ซื้อโกโก้เย็นรถเข็น 12 บาท ( ความจริง17 แต่เอากระติกน้ำไปเอง ป้าลดให้เหลือ12) ค่าน้ำขับขับรถไปกลับเดือนนึงก็ไม่เท่าไหร่ เพราะมันใกล้บ้าน ค่าโทรศัพท์เดือนนึงก็แค่ร้อยกว่าบาท ช้อปปิ้งก็ไม่ช้อบ เครื่องสำอางค์ไม่ใช้ … เงินเดือนก็เลยมีเหลือเก็บมาเรื่อยๆ …. ก็คิดอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มทำงานล่ะ ว่ามันจะต้องมีวันแบบนี้ ก็เลยเก็บเงินเผื่อไว้ก่อน ซึ่งมันก็ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นจริงๆ ทำให้รู้เลยว่า การมีเงินเก็บ มันจำเป็นสำหรับอิสรภาพจริงๆนะเนี่ย (สำหรับชีวิตในเมือง)
โชคดีที่ว่าเราเก็บเงินมาตั้งแต่วันนั้น ทำให้วันนี้เราโอกาสอย่างน้อยก็สักระยะ ในการที่จะได้ทำอะไรตามใจอยาก โดยไม่ต้องแคร์เรื่องเงินเดือน
แต่แน่ล่ะ…มันก็ได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้นแหละ
เมื่อเงินเก็บหมด เราก็ต้องมองหาอะไรบางอย่างที่มั่นคงด้วยแหละ…ซึ่ง…เราก็คิดไว้แล้ว
“แล้วอนาคตล่ะ มีความมั่นคงรองรับไหม?”
อีกหนึ่งคำถามที่ผู้หวังดีมักแสดงความเป็นห่วง
ซึ่งแน่นอนว่า…เราก็คิดไว้แล้วเช่นกัน
“ทีวีบูรพา” คือบริษัทเดียวที่เราอยากทำ
คิดอยู่ที่เดียวเนี่ยแหละ ไม่ได้คิดถึงที่อื่นเลย ถ้าไม่ได้…ก็จะรอจนกว่าจะได้นั่นแหละ !!
มันอาจเป็นความคิดที่บ้าในสายตาของใครหลายคน
แต่สำหรับเรา เรารู้สึกว่า การเลือกที่จะทำงานสักที่หนึ่ง ใจต้องมาก่อน ความอยากทำต้องมาก่อน
เรารู้สึกว่าการจะทำงานสักที่หนึ่ง มันไม่ใช่แค่เรื่องของเงินเดือน แต่มันคือเรื่องของชีวิตทั้งชีวิต
เราไม่ได้ตามหางานที่มีเงินเดือนสูง แต่เราตามหางานที่เรารัก เราศรัทธา และพร้อมที่จะทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตให้กับมัน ให้งานกับชีวิตก้าวไปในจังหวะเดียวกัน ไม่แยกขาดจากกันเหมือนที่ผ่านมา …
มีคนเคยบอกว่า “จงทำงานกับคนที่เราศรัทธา”
ซึ่งทีวีบูรพา ก็เป็นคำตอบนั้น
เราศรัทธาที่นี่ ชื่นชมผลงานของที่นี่ ได้อ่านบทสัมภาษณ์พี่เช็ค บทสัมภาษณ์ทีมงาน อ่านเบื้องหลังการถ่ายทำมาเยอะ มันก็เกิดเป็นความผูกพันโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเข้าไปรู้จักมากขึ้นก็ยิ่งประทับใจ มันก็เลยไม่คิดจะไปทำงานที่อื่นน่ะ
ถ้าถามว่า ถึงวันที่เงินเก็บหมด แต่ทีวีบูรพายังไม่พร้อมรับเราเข้าทำงานจะทำยังไง
อันนี้ก็คิดไว้แล้วอีกเช่นกันว่า เราก็จะไปเป็นอาสาสมัครช่วยงานของมูลนิธิ …อาจจะเป็นมูลนิธิของกลุ่มชาวนาคุณธรรม หรือไม่ก็เครือข่ายของอ.ยักษ์ ซึ่งสถานที่เหล่านี้ก็ต้องการคนช่วยงานอยู่แล้ว อยู่ฟรีกินฟรี โดยทำงานแลกเป็นการตอบแทน ชีวิตแบบนี้ก็เป็นไปได้ ไม่ใช่ว่าเงินเก็บหมดแล้วหมดหนทางซะที่ไหน….เราจะไม่ยอมกลับไปเป็นมนุษย์เงินเดือนแบบไร้หัวใจแน่ๆ ถ้าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน …ก็จะต้องเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีหัวใจให้งานเต็มที่เท่านั้นแหละ
แต่อนาคตจะเป็นยังไง มันไม่สำคัญเท่ากับปัจจุบันหรอก
สิ่งที่ต้องคิดในวันนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะรับเราเข้าทำงานไหม แต่สิ่งที่ต้องคิดก็คือ ทำยังไงให้เราดีพอเก่งพอสำหรับงานนั้นต่างหาก ความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอหรอก ฝีมือก็ต้องมีด้วย
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราในวันนี้ คือพัฒนาฝีมือของตัวเองให้มันหลุดพ้นจากความกากให้ได้เท่านั้นแหละ
แม้จะยาก… แต่ก็จะพยายามครับ